วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2568

“นิรันดร์รัตน์”จัดพิธีมอบใบประกาศประจำปี 2568

 “นิรันดร์รัตน์”จัดพิธีมอบใบประกาศประจำปี 2568..

โรงเรียนสอนตัดเสื้อ-เสริมสวย นิรันดร์รัตน์  โรงเรียนเก่าแก่ ที่ส่งเสริมอาชีพให้คนไทยจากรุ่นสู่รุ่นมายาวนานกว่า 50 ปี ซึ่งทางโรงเรีนนฯได้มีการพัฒนาปรับบหลักสูตรการเรียนการสอนให้ทันยุคสมัยอยู่ตลอดเวลา 

เป็นประจำของทุกปี ที่โรงเรียนสอนตัดเสื้อ-เสริมสวย นิรันดร์รัตน์ ได้มีการจัดพิธีมอบใบประกาศวุฒิบัตรให้กับนักเรียนที่จบการศึกษาของสถาบันแห่งนี้ โดยปีนี้กำหนดจัดงานวันที่ 28 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา ณ ห้างอิมพีเรียล สำโรง สมุทรปราการ 

สีสันงานนี้เหมือนเช่นเคย มีกิจกรรม ตั้งแต่เวลา 10.00 น. เช่น การแข่งขันประกวดผลงานของนักเรียน ชิงถ้วยรางวัลชนะเลิศ อันดับ 1,2,3 โดยมีการแข่งขัน คือ  ซอยผมหญิงชุดกลางวัน,ซอยผมชายชุดราตรี, ม้วนฟาร่าห์, ประกวด มิสเอลีเซ่ โดยอาจารย์ พจน์เวท เต็มนิรันรัตน์ ผู้อำนวยการโรงเรียนสอนตัดเสื้อ-เสริมสวย นิรันดร์รัตน์ พร้อมด้วย อาจารย์ ธรรมรัตน์ เต็มนิรันรัตน์ ทายาทของอาจารย์พจน์เวท เป็นผู้มอบใบประกาศนียบัตร นอกจากนี้ยังมีช่างผมจากประเทศเกาหลี CEO Jaehyuk Lee (CEO เช-ฮย็อค ลี) มาโชว์ลีลาการตัดผมอย่างมืออาชีพ อีกด้วย

อาจารย์ พจน์เวท เต็มนิรันรัตน์ ผู้อำนวยการโรงเรียนฯ ให้สัมภาษณ์ว่า โรงเรียนสอนตัดเสื้อ-เสริมสวย นิรันดร์รัตน์ มีการพัฒนาการเรียนการสอนทุกปี เพื่อให้เข้ากับยุคสมัยความต้องการของลูกค้า ที่ผ่านมาเราสร้างอาชีพให้กับคนไทย และคนที่จะไปประกอบอาชีพเสริมสวย ตัดเย็บเสื้อผ้าที่ต่างประเทศ ชื่อเสียงกว่า 50 ปี ของโรงเรียนสอนตัดเสื้อ-เสริมสวย นิรันดร์รัตน์ การันตีได้ถึงความสำเร็จที่มีผู้คนให้ความสนใจมาเรียนกันทุกปี



โรงเรียนสอนตัดเสื้อ-เสริมสวย นิรันดร์รัตน์  มุ่งเน้นให้นักเรียนทุกคน นำวิชาไปประกอบอาชีพได้จริง ดังคอนเซ็ปต์ที่ว่า “เรียนง่าย เป็นเร็ว เรียนจบ มีงานทำ”...ผู้ที่สนใจ มาเรียนที่โรงเรียนสอนตัดเสื้อ-เสริมสวย นิรันดร์รัตน์  ซึ่งมีให้เลือกกว่า 20 หลักสูตร สามารถติดต่อกับโรงเรียนสอนตัดเสื้อ-เสริมสวย นิรันดร์รัตน์ ได้ทุกสาขา หรือสอบถามรายละเอียดได้ที่ คุณนุส 085-317-9292 หรือติดตามความเคลื่อนไหว ได้ที่ Page : โรงเรียนสอนเสริมสวย-ตัดเสื้อนิรันดร์รัตน์ธรรมรัตน์



กรมวิทยาศาสตร์บริการ ผนึกกำลัง 4 หน่วยงานหลัก พัฒนาระบบบริหารจัดการน้ำดื่มในโรงเรียนพื้นที่โครงการพระราชดำริ

 กรมวิทยาศาสตร์บริการ ผนึกกำลัง 4 หน่วยงานหลัก พัฒนาระบบบริหารจัดการน้ำดื่มในโรงเรียนพื้นที่โครงการพระราชดำริ

        วันที่ 30 กันยายน 2568 กรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมกับ 4 หน่วยงานพันธมิตร ได้แก่ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กรมอนามัย ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และมูลนิธิพัฒนาฝีมือแรงงาน จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เพื่อพัฒนาระบบบริหารจัดการน้ำดื่มแก่โรงเรียนในพื้นที่โครงการพระราชดำริและโครงการเฉลิมพระเกียรติ ณ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กรุงเทพฯ

      ความร่วมมือครั้งนี้มีเป้าหมายสำคัญเพื่อ ยกระดับคุณภาพชีวิตของเยาวชนในพื้นที่ห่างไกล ให้สามารถเข้าถึงน้ำดื่มที่สะอาด ปลอดภัย และได้มาตรฐาน อันจะช่วยเสริมสร้างสุขอนามัยที่ดีและความเป็นอยู่ที่ยั่งยืนของชุมชน

   

 

      นางพจมาน ท่าจีน รองอธิบดี รักษาราชการแทนอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์บริการ กล่าวว่า กรมวิทยาศาสตร์บริการ ในฐานะหน่วยงานหลักด้านวิทยาศาสตร์ของประเทศ ดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ภายใต้ยุทธศาสตร์การสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม โดยให้ความสำคัญกับการนำนวัตกรรมและองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในการพัฒนาเชิงพื้นที่ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม


     ทั้งนี้ สถาบันวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีชุมชน ในสังกัดกรมวิทยาศาสตร์บริการ มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านระบบกรองน้ำสำหรับอุปโภคบริโภค โดยมีประสบการณ์ดำเนินงานร่วมกับภาคีเครือข่ายทั่วประเทศมานานกว่า 20 ปี ในการวิจัย พัฒนา ติดตั้งระบบกรองน้ำ และถ่ายทอดความรู้ด้านการดูแลและซ่อมบำรุงให้แก่ครู บุคลากรในโรงเรียน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

     ความร่วมมือในครั้งนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการบูรณาการความเชี่ยวชาญระหว่างภาครัฐ ภาคการเงิน และภาคประชาสังคม เพื่อร่วมกันจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน โดยเน้นการถ่ายทอดองค์ความรู้ การพัฒนาระบบบริหารจัดการน้ำดื่ม การส่งเสริมสุขอนามัย และการสร้างศักยภาพให้กับบุคลากรในพื้นที่

       กรมวิทยาศาสตร์บริการ มีความมุ่งมั่นในการขยายผลการดำเนินงานไปยังพื้นที่ทุรกันดารทั่วประเทศ ผ่านการประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อส่งเสริมความเท่าเทียมในการเข้าถึงทรัพยากรพื้นฐาน เสริมสร้างสังคมคุณภาพ และสร้างอนาคตที่ดีให้กับเด็กและเยาวชนไทยในทุกภูมิภาคของประเทศ


#กรมวิทยาศาสตร์บริการ #กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม #กระทรวงอว #กรมวิทย์ฯบริการ #DSS #MHESI

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งจัดทีมบรรเทาสาธารณภัยลงพื้นที่ จ.อุตรดิตถ์ ช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัยน้ำท่วมด้วยสถานการณ์ฝนตกหนักในพื้นที่ อ.ทองแสนขัน อ.น้ำปาด จ.อุตรดิตถ์ ทำให้ระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้น ประชาชนได้รับความเดือดร้อน

 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งจัดทีมบรรเทาสาธารณภัยลงพื้นที่ จ.อุตรดิตถ์ ช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัยน้ำท่วมด้วยสถานการณ์ฝนตกหนักในพื้นที่ อ.ทองแสนขัน อ.น้ำปาด จ.อุตรดิตถ์  ทำให้ระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้น ประชาชนได้รับความเดือดร้อน




เมื่อวันอังคารที่ 30 กันยายน 2568 ทางคณะกรรมการมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง จึงสั่งการด่วน ให้นายอรัณย์ โตทวด ผู้จัดการใหญ่ฯจัดทีมบรรเทาสาธารณภัยฯนำโดยนายวรพจน์ จรัสเศรษฐสิริ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายปฎิบัติการฯ 



 นำกำลังเจ้าหน้าที่กู้ภัย, กู้ชีพ จำนวนประมาณ 50 คน พร้อมโรงครัวเคลื่อนที่, เรือท้องแบน  4 ลำ ,รถกู้ชีพ-กู้ภัย รถยกสูง 4x4, รถโรงครัวเคลื่อนที่ จำนวน 12 คันอุปกรณ์กู้ภัยทางน้ำ เสื้อชูชีพ 100 ตัว อาหารหมาแมว 



และเมื่อ เวลา 03.00 โดยประมาณ ทีมบรรเทาสาธารณภัยได้ถึงพื้นที่ จัดตั้งกองอำนวยการ ณ วัดพลอยสังวรนิรันดร์ อ.ทองแสนขัน จ.อุตรดิตถ์ เบื้องต้นลงพื้นที่ช่วยเหลืออพยพประชาชนออกจากพื้นที่ประสบอุทุกภัยน้ำท่วม




(รายละเอียดต่างๆจะรายงานให้ทราบต่อไป)

ฝ่ายสื่อสารองค์กรมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งรายงาน

“รองนายกฯ สุชาติ” ห่วงประชาชนพื้นที่น้ำท่วม สั่งการหน่วยงานใน ทส. เร่งเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำใกล้ชิด แจ้งเตือนประชาชนอย่างต่อเนื่อง และเตรียมพร้อมให้ความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที

  “รองนายกฯ สุชาติ” ห่วงประชาชนพื้นที่น้ำท่วม สั่งการหน่วยงานใน ทส. เร่งเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำใกล้ชิด แจ้งเตือนประชาชนอย่างต่อเนื่อง และเตรียมพร้อมให้ความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที


เมื่อวันที่ (30 กันยายน 2568) นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้สั่งการให้ศูนย์ปฏิบัติการบินพื้นที่ภาคกลาง ศูนย์เทคโนโลยีดิจิทัลและอากาศยาน นำเฮลิคอปเตอร์กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ขึ้นบินสำรวจสถานการณ์น้ำในพื้นที่ชุ่มน้ำบึงบอระเพ็ด ลำน้ำน่าน และลำน้ำเจ้าพระยา เพื่อเฝ้าระวังและประเมินสถานการณ์น้ำ ประกอบการวางแผนบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ รวมถึงเตรียมความพร้อมในการให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนและสนับสนุนอุปกรณ์และเครื่องมือจำเป็นร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ในพื้นที่ อาทิ เครื่องสูบน้ำ เรือ กำลังเจ้าหน้าที่ในการขนย้ายสิ่งของ และน้ำดื่มสะอาด เป็นต้น 


นายสุชาติ กล่าวว่า “ผลจากการบินสำรวจสถานการณ์น้ำเมื่อช่วงเช้าวันนี้ ได้รับรายงานว่า น้ำในบึงบอระเพ็ดมีปริมาณน้ำค่อนข้างมากประมาณ 470.77 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 200.52 ของความจุในการรองรับน้ำ และมีแนวโน้มที่จะมีปริมาณน้ำเพิ่มสูงขึ้นอีก เนื่องจากระดับน้ำในลำน้ำน่านยังคงมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้พื้นที่การเกษตรบริเวณรอบบึงบอระเพ็ดเริ่มได้รับผลกระทบ ซึ่งพื้นที่บึงบอระเพ็ดถือเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำสำคัญที่ช่วยรองรับปริมาณน้ำก่อนลงสู่พื้นที่ภาคกลางได้เป็นอย่างมาก และจากการประเมินสถานการณ์ล่าสุด คาดว่าบึงบอระเพ็ดยังคงสามารถรองรับปริมาณน้ำได้อีกประมาณ 20 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งจะช่วยบรรเทาสถานการณ์น้ำที่จะไหลลงสู่พื้นที่ภาคกลางได้

และจากการบินสำรวจลงมาตามลำน้ำเจ้าพระยา พบว่า หลายพื้นที่เริ่มมีปริมาณน้ำล้นตลิ่ง ส่งผลกระทบต่อพื้นที่การเกษตรและวิถีชีวิตของประชาชน เช่น บริเวณอำเภอบางโฉมศรี จังหวัดสิงห์บุรี และอำเภอผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยายังอยู่ในเกณฑ์ที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด หากมีฝนตกหนักต่อเนื่องอาจส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งขณะนี้ปริมาณน้ำที่ไหลผ่านสถานีตรวจวัดน้ำ ที่ อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ มีแนวโน้มปริมาณน้ำไหลผ่านเพิ่มสูงขึ้น จาก 2,622 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เป็น 2,924 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที จึงได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงทรัพยากรฯ เฝ้าระวังสถานการณ์น้ำในพื้นที่อย่างใกล้ชิด เพื่อแจ้งเตือนประชาชนอย่างต่อเนื่อง และเตรียมพร้อมเข้าให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ได้อย่างทันท่วงที


สำหรับกรณีน้ำป่าไหลหลากเข้าท่วมพื้นที่จังหวัดอุตรดิตถ์ บริเวณบ้านปางค้อ หมู่ 6 บ้านแสนขัน หมู่ 2 และหมู่ 12 ตำบลบ่อทอง อำเภอทองแสนขัน ชุมชนท้องที่ตำบลน้ำไคร้ อำเภอน้ำปาด และชุมชนท้องที่อำเภอท่าปลา ส่งผลให้มีน้ำท่วมสูง กระแสไฟฟ้าดับ และการสื่อสารขัดข้อง นั้น ในวันนี้ ได้สั่งการให้ระดมเจ้าหน้าที่จากอุทยานแห่งชาติลำน้ำน่าน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าน้ำปาด และหน่วยจัดการต้นน้ำห้วยผึ้ง รวม 50 นาย รถยนต์ 10 คัน เข้าให้การช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบเป็นการเร่งด่วนแล้ว

“รองนายกฯ สุชาติ” ห่วงประชาชนพื้นที่น้ำท่วม สั่งการหน่วยงานใน ทส. เร่งเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำใกล้ชิด แจ้งเตือนประชาชนอย่างต่อเนื่อง และเตรียมพร้อมให้ความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที

 “รองนายกฯ สุชาติ” ห่วงประชาชนพื้นที่น้ำท่วม สั่งการหน่วยงานใน ทส. เร่งเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำใกล้ชิด แจ้งเตือนประชาชนอย่างต่อเนื่อง และเตรียมพร้อมให้ความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที

วันนี้ (30 กันยายน 2568) นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้สั่งการให้ศูนย์ปฏิบัติการบินพื้นที่ภาคกลาง ศูนย์เทคโนโลยีดิจิทัลและอากาศยาน นำเฮลิคอปเตอร์กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ขึ้นบินสำรวจสถานการณ์น้ำในพื้นที่ชุ่มน้ำบึงบอระเพ็ด ลำน้ำน่าน และลำน้ำเจ้าพระยา เพื่อเฝ้าระวังและประเมินสถานการณ์น้ำ ประกอบการวางแผนบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ รวมถึงเตรียมความพร้อมในการให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนและสนับสนุนอุปกรณ์และเครื่องมือจำเป็นร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ในพื้นที่ อาทิ เครื่องสูบน้ำ เรือ กำลังเจ้าหน้าที่ในการขนย้ายสิ่งของ และน้ำดื่มสะอาด เป็นต้น 

นายสุชาติ กล่าวว่า “ผลจากการบินสำรวจสถานการณ์น้ำเมื่อช่วงเช้าวันนี้ ได้รับรายงานว่า น้ำในบึงบอระเพ็ดมีปริมาณน้ำค่อนข้างมากประมาณ 470.77 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 200.52 ของความจุในการรองรับน้ำ และมีแนวโน้มที่จะมีปริมาณน้ำเพิ่มสูงขึ้นอีก เนื่องจากระดับน้ำในลำน้ำน่านยังคงมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้พื้นที่การเกษตรบริเวณรอบบึงบอระเพ็ดเริ่มได้รับผลกระทบ ซึ่งพื้นที่บึงบอระเพ็ดถือเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำสำคัญที่ช่วยรองรับปริมาณน้ำก่อนลงสู่พื้นที่ภาคกลางได้เป็นอย่างมาก และจากการประเมินสถานการณ์ล่าสุด คาดว่าบึงบอระเพ็ดยังคงสามารถรองรับปริมาณน้ำได้อีกประมาณ 20 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งจะช่วยบรรเทาสถานการณ์น้ำที่จะไหลลงสู่พื้นที่ภาคกลางได้และจากการบินสำรวจลงมาตามลำน้ำเจ้าพระยา พบว่า หลายพื้นที่เริ่มมีปริมาณน้ำล้นตลิ่ง ส่งผลกระทบต่อพื้นที่การเกษตรและวิถีชีวิตของประชาชน เช่น บริเวณอำเภอบางโฉมศรี จังหวัดสิงห์บุรี และอำเภอผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยายังอยู่ในเกณฑ์ที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด หากมีฝนตกหนักต่อเนื่องอาจส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งขณะนี้ปริมาณน้ำที่ไหลผ่านสถานีตรวจวัดน้ำ ที่ อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ มีแนวโน้มปริมาณน้ำไหลผ่านเพิ่มสูงขึ้น จาก 2,622 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เป็น 2,924 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที จึงได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงทรัพยากรฯ เฝ้าระวังสถานการณ์น้ำในพื้นที่อย่างใกล้ชิด เพื่อแจ้งเตือนประชาชนอย่างต่อเนื่อง และเตรียมพร้อมเข้าให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ได้อย่างทันท่วงที

สำหรับกรณีน้ำป่าไหลหลากเข้าท่วมพื้นที่จังหวัดอุตรดิตถ์ บริเวณบ้านปางค้อ หมู่ 6 บ้านแสนขัน หมู่ 2 และหมู่ 12 ตำบลบ่อทอง อำเภอทองแสนขัน ชุมชนท้องที่ตำบลน้ำไคร้ อำเภอน้ำปาด และชุมชนท้องที่อำเภอท่าปลา ส่งผลให้มีน้ำท่วมสูง กระแสไฟฟ้าดับ และการสื่อสารขัดข้อง นั้น ในวันนี้ ได้สั่งการให้ระดมเจ้าหน้าที่จากอุทยานแห่งชาติลำน้ำน่าน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าน้ำปาด และหน่วยจัดการต้นน้ำห้วยผึ้ง รวม 50 นาย รถยนต์ 10 คัน เข้าให้การช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบเป็นการเร่งด่วนแล้ว


“รองนายกฯ สุชาติ” ร่วมแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา ชูนโยบายด้านภัยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เร่งพัฒนาเครือข่ายเตือนภัยพิบัติ และมุ่งผลักดันสังคมคาร์บอนต่ำ

  “รองนายกฯ สุชาติ” ร่วมแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา ชูนโยบายด้านภัยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เร่งพัฒนาเครือข่ายเตือนภัยพิบัติ และมุ่งผลักดันสังคมคาร์บอนต่ำ


วันที่ 29 กันยายน 2568 นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เข้าร่วมการแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา ซึ่ง นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้แถลงต่อรัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 1 (สมัยสามัญประจำปี ครั้งที่ 1) เป็นพิเศษ เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2568 ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชั้น 2 อาคารรัฐสภา กรุงเทพมหานคร โดยมี นายประเสริฐ ศิรินภาพร รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงฯ เข้าร่วมรับฟังการแถลงนโยบายและเตรียมพร้อมสนับสนุนข้อมูลการดำเนินงานด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 


โดยนายกรัฐมนตรี ได้แถลงนโยบายสำคัญ 5 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านเศรษฐกิจ 2) ด้านความมั่นคง 3) ด้านสังคม 4) ด้านภัยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ 5) ด้านการบริหารภาครัฐ การปฏิรูปกฎหมาย ภายใต้การยึดหลักสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ 1) พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ 2) ยึดมั่นการปกครองในระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และ 3) ยึดมั่นในหลักนิติธรรม การบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม และการบริหารราชการแผ่นดินบนพื้นฐานของธรรมาภิบาล เพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชน



นายสุชาติ กล่าวว่า “ในส่วนนโยบายด้านภัยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รัฐบาลได้ให้ความสำคัญใน 2 ประเด็นหลัก คือ 1) การเร่งติดตั้งเครื่องมือเตือนภัยและพัฒนาเครือข่ายการเตือนภัยพิบัติ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง รวมถึงการเร่งเยียวยาฟื้นฟูประชาชนผู้ประสบภัย การนำข้อมูลของส่วนราชการส่งต่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปปฏิบัติในพื้นที่อย่างจริงจัง การอนุรักษ์ ฟื้นฟู และรักษาทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน ส่งเสริมการใช้พื้นที่ป่าและป่าชุมชนอย่างถูกต้อง และการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างเป็นระบบ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และ 2) การเร่งผลักดันประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ โดยจะประกาศให้ไทยบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี พ.ศ. 2593 (ค.ศ. 2050) เพื่อรับมือกับการค้าระหว่างประเทศและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยจะส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดในชุมชนและหน่วยงานรัฐ การสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าและระบบขนส่งสาธารณะ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในภาคอุตสาหกรรม รวมถึงการยกระดับวิถีเกษตรกรไปสู่เกษตรกรรุ่นใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเน้นการป้องกันและลดการเผาในภาคการเกษตร เพื่อลดปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 และจัดตั้งตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิตที่ได้มาตรฐานสากล และผลักดันกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมที่สำคัญให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว


วันจันทร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2568

รองนายกฯ สุชาติ สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำทำเนียบรัฐบาล เพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนเข้าเริ่มปฏิบัติงานในตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี

 รองนายกฯ สุชาติ สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำทำเนียบรัฐบาล เพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนเข้าเริ่มปฏิบัติงานในตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี





วันนี้ (30 กันยายน 2568) เวลา 07.00 น. นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาลในโอกาสเข้ารับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี โดยได้สักการะศาลพระภูมิเจ้าที่ และศาลตา ศาลยาย ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำทำเนียบรัฐบาล พร้อมอัญเชิญพระพุทธชินราชประดิษฐานในห้องทำงาน ณ ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล เพื่อความเป็นสิริมงคลในการเริ่มต้นปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นทางการ โดยโอกาสนี้  ดร.ชญานันท์ ภักดีจิตต์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงในสังกัดกระทรวงทรัพยากรฯ ได้เข้าร่วมในพิธี เพื่อเป็นกำลังใจในการทำงานสนองใต้เบื้องพระยุคลบาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และการดูแลพี่น้องประชาชนในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้เกิดความสมดุลและยั่งยืน


นายสุชาติ ได้กล่าวว่า “นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ที่ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม แต่งตั้งเป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยังความปลื้มปีติทั้งต่อตนเองและครอบครัวเป็นอย่างสูง เพื่อสนองพระเดชพระคุณที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณในครั้งนี้ และเพื่อเป็นการสนองคุณต่อแผ่นดิน ผมมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะปฏิบัติหน้าที่เพื่อประชาชนและประเทศชาติอย่างเต็มกำลังความสามารถ


วธ. ร่วมงานพิธีอภิเษกสมรสขององค์พระแม่ศรีมหาอุมาเทวีและองค์พระศิวะมหาเทพครั้งยิ่งใหญ่ในเทศกาลนวราตรี วัดแขกสีลม

 วธ. ร่วมงานพิธีอภิเษกสมรสขององค์พระแม่ศรีมหาอุมาเทวีและองค์พระศิวะมหาเทพครั้งยิ่งใหญ่ในเทศกาลนวราตรี วัดแขกสีลม



วันจันทร์ที่ 29 กันยายน 2568 เวลา 09.00 น . กรมการศาสนาร่วมกับสำนักพราหมณ์พระราชครูในสำนักพระราชวัง และวัดพระศรีมหาอุมาเทวี (วัดแขกสีลม)  จัดพิธีอภิเษกสมรสองค์พระศิวะมหาเทพ และองค์พระแม่ศรีมหาอุมาเทวี เนื่องในเทศกาล นวราตรี ประจำปี พ.ศ. 2568 ระหว่างวันที่ 22 กันยายน ถึง 2 ตุลาคม 2568 โดยมีนายประสพ เรียงเงิน ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นายชัยพล สุขเอี่ยม อธิบดีกรมการศาสนา  สำนักพราหมณ์พระราชครู ในสำนักพระราชวัง 


นายสำรวย นักการเรียน ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม  ผู้อำนวยการกองศาสนูปถัมภ์ เจ้าหน้าที่กรมการศาสนา และประชาชน เข้าร่วม ณ วัดพระศรีมหาอุมาเทวี เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร







นายประสพ เรียงเงิน ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมการศาสนาได้ร่วมกับสำนักพราหมณ์พระราชครู ในสำนักพระราชวัง องค์การทางศาสนาศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู ที่กรมการศาสนาให้การรับรองได้ร่วมกับวัดพระศรีมหาอุมาเทวี จัดพิธีอภิเษกสมรสขององค์พระแม่ศรีมหาอุมาเทวีและองค์พระศิวะมหาเทพ ภายใต้เทศกาลนวราตรี พ.ศ. 2568 ตามโครงการ “เสน่ห์แห่งสีสัน เทศกาลแห่งศรัทธา” เพื่อส่งเสริมประเพณีในมิติศาสนา โดยประเพณีแต่งงานขององค์เทพที่จะได้เห็นในวันนี้ เป็นต้นแบบทางวัฒนธรรมของพิธีแต่งงานในประเทศในกลุ่มทวีปเอเชียรวมถึงประเทศไทย ดังจะเห็นได้จากการจัดรูปแบบของขบวนขันหมาก และการประกอบพิธีทางศาสนาเพื่ออวยพรคู่แต่งงานที่ได้รับอิทธิพล สืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน การจัดงานครั้งนี้เป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวและเทศกาลในมิติทางศาสนา เป็นการยกระดับเทศกาลประเพณีให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง และก่อให้เกิดความศรัทธาและความเชื่อ จึงเป็นการส่งเสริมเศรษฐกิจในมิติศาสนาผ่านงานเทศกาลมีส่วนสำคัญในการกระตุ้นให้ชุมชนรอบวัดและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น ร้านจำหน่ายเครื่องสักการะ อาหาร และบริการเช่าชุดอินเดีย มีรายได้เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ประเทศไทยมีความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน 


นายสุรพงษ์ สิริธรกุล ประธานคณะกรรมการมูลนิธิวัดพระศรีมหาอุมาเทวี กล่าวว่า การจัดพิธีอภิเษกสมรสขององค์พระแม่ศรีมหาอุมาเทวีและองค์พระศิวะมหาเทพ ในวันจันทร์ที่ 29 กันยายน 2568 จะแสดงถึงวัฒนธรรมการจัดรูปแบบของขบวนขันหมากและพิธีอภิเษกสมรสตามความเชื่อของศาสนาฮินดู โดยจะจัดเพียง 1 ครั้งในรอบปีเท่านั้น จึงเป็นพิธีกรรมที่ได้รับความสนใจจากศาสนิกชน และคู่รักหรือคู่ครอง ที่จะมาขอพรเพื่อการแต่งงาน และการสมหวังในความรัก โดยในปีนี้ได้รับเกียรติจาก นายประสพ เรียงเงิน ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ได้รับเชิญเป็นประธานในพิธีการสำคัญนี้อีกด้วย

  


 พระแม่ศรีมหาอุมาเทวี เป็นอวตารหนึ่งของพระแม่ปารวตี ชายาของพระศิวะมหาเทพ เป็นหนึ่งในเทพตรีมูรติผู้ยิ่งใหญ่ของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ประกอบด้วย พระพรหม พระวิษณุ และพระศิวะ โดยพระองค์ทรงทำหน้าที่เป็นผู้ทำลายล้างสิ่งชั่วร้าย เพื่อให้เกิดแต่ความดีงามบนโลกใบนี้ ในคติความเชื่อของไศวนิกาย ได้มีการนับถือให้พระองค์เป็นเจ้าสูงสุด โดยทั้งสองพระองค์มีพระราชโอรส คือ พระขันธกุมารและพระพิฆเนศ



 ศาสนิกชนที่เข้าร่วมในพิธีอภิเษกสมรสขององค์พระแม่ศรีมหาอุมาเทวีและองค์พระศิวะมหาเทพ จะได้ร่วมในขบวนแห่ขันหมาก ซึ่งประกอบด้วยขนมมงคลบนถาดบูชาสำหรับถวายองค์เทพ โดยเมื่อจบพิธี จากนั้นจึงเข้าร่วมในพิธีโหมกูณฑ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในพิธีบูชาพระเป็นเจ้าทางศาสนาฮินดู โดยพราหมณ์จะนำสิ่งของเครื่องบูชาต่างๆ อาทิ ไม้ เครื่องหอม สมุนไพร ธัญพืช ดอกไม้ เนย น้ำผึ้ง น้ำมันเนย ข้าว ขนม ผลไม้ อัญมณี พวงมาลัย ตลอดจนพัสตราภรณ์ เป็นต้น ลงไปเผาในกองกูณฑ์ที่ลุกโชนด้วยไฟ ซึ่งถือเป็นการถวายเครื่องบูชาผ่านทางพระอัคนี ไปสู่พระเป็นเจ้าองค์ที่เราประกอบพิธีบูชา 

ลำดับต่อมาพราหมณ์ประกอบพิธีอภิเษกสมรสระหว่างองค์เทพ โดยอุปโลกน์พราหมณ์สองท่านเป็นองค์พระแม่ศรีมหาอุมาเทวีและองค์พระศิวะมหาเทพ ซึ่งเป็นพราหมณ์ผู้มาจากเมืองมาดูไร วัดในประเทศอินเดียที่จัดพิธีสมรสขององค์พระแม่ตามตำนาน โดยพราหมณ์ในพิธีจะประกอบพิธีมอบสร้อยมงคลแก่กันและกัน และจูงมือเดินรอบกองไฟ 7 รอบเช่นเดียวกับตำนาน จากนั้นประธานในพิธีจึงโปรยดอกไม้อวยพรเทพ ทั้งสององค์ ไกวชิงช้าและร่วมกันอธิษฐานดอกไม้เป็นอันเสร็จพิธี


ตลอดการงานเทศกาลนวราตรี ระหว่างวันที่ 22 กันยายน ถึง 2 ตุลาคม 2568 นั้น เป็นประเพณีสำคัญทางศาสนาฮินดู ภายในงานมีการจัดกิจกรรมบูชาองค์เทพที่สำคัญของศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของศาสนิกชน ตลอดทั้งเทศกาลจะมีพิธีบูชาองค์เทพต่างๆในช่วงเช้าเริ่มเวลา 09.30 น. และช่วงค่ำเริ่มเวลา 17.30 น. ที่วัดพระศรีมหาอุมาเทวี ศาสนิกชนสามารถเดินทางเข้ามาร่วมพิธีได้โดยไม่มีการจำกัดเชื้อชาติ หรือศาสนา โดยเชื่อว่าจะช่วยเสริมสิริมงคลให้กับชีวิตของตนเองและครอบครัวด้วย 

ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวทิ้งท้ายว่า โครงการเสน่ห์แห่งสีสัน เทศกาลแห่งศรัทธา ภายใต้การจัดกิจกรรมเทศกาลของศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู เป็นการส่งเสริมให้ศาสนิกชนได้ปฏิบัติศาสนกิจตามศาสนา อันเป็นการสร้างความเข้มแข็งของสถาบันศาสนาให้เป็นเสาหลักที่จะสร้างสรรค์สังคมที่มีคุณธรรม ศาสนิกชนทุกศาสนาอยู่ร่วมกันด้วยความรักสามัคคีสืบต่อไป /////

รองนายกฯ สุชาติ ประชุม กทช. ครั้งที่ 2/2568 เคาะเกณฑ์ใช้ประโยชน์ที่ดินป่าชายเลน เพื่อแก้ไขปัญหาการอยู่อาศัยและทำกินของประชาชน

  รองนายกฯ สุชาติ ประชุม กทช. ครั้งที่ 2/2568 เคาะเกณฑ์ใช้ประโยชน์ที่ดินป่าชายเลน เพื่อแก้ไขปัญหาการอยู่อาศัยและทำกินของประชาชน      วันที่ ...