วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2568

อนัตตาบารมี’ บริการจัดงานศพครบวงจรแนวใหม่ยกระดับงานศพไทยสู่ FuneralTech แห่งอนาคตจ่ายครั้งเดียวจบ พร้อมโมเดลงานศพรักษ์โลก Zero-Waste Funeral

 ‘อนัตตาบารมี’ บริการจัดงานศพครบวงจรแนวใหม่ยกระดับงานศพไทยสู่ FuneralTech แห่งอนาคตจ่ายครั้งเดียวจบ พร้อมโมเดลงานศพรักษ์โลก Zero-Waste Funeral


ในวันที่ “ความสูญเสีย” มักมาพร้อมกับความไม่พร้อม ทั้งในใจและในชีวิตจริง บริษัท สิริมงคล รับทรัพย์ ร่ำรวย จำกัด ภายใต้การบริหารของ ดร.ษรัญพัฒน์ ทวีสิทธาพล ได้เปิดตัวแบรนด์ “อนัตตาบารมี” บริการจัดงานศพครบวงจรแนวใหม่ ที่ยึดหัวใจหลักคือ “คุณจัดการความรู้สึก เราจัดงานแทนคุณ” แนวคิดนี้สะท้อนถึงความเข้าใจลึกซึ้งใน “ความเศร้า” ของผู้สูญเสีย และการเปลี่ยน “งานศพ” ให้กลายเป็น “พิธีแห่งความรักและการจากลาอย่างมีคุณค่า”


ดร.ษรัญพัฒน์ ทวีสิทธาพล เปิดเผยว่า แบรนด์ “อนัตตาบารมี” ออกแบบขึ้นเพื่อให้ทุกครอบครัวได้รู้สึกว่า “ไม่ได้อยู่ลำพังในวันที่ต้องสูญเสีย” ทีมงานทุกคนได้รับการฝึกฝนให้เข้าใจทั้งมิติของพิธีกรรมและมิติของความรู้สึก โดยในทุกงานจะมีเจ้าหน้าที่คอยอยู่ดูแลตลอดพิธี เสมือนเป็นคนในครอบครัวของผู้วายชนม์ หลายคนคิดว่างานศพเป็นเพียงงานจัดการศพ แต่สำหรับผม มันคือ ‘ภารกิจแห่งหัวใจ’ ที่เราต้องทำให้ดีที่สุดในครั้งเดียว เพราะมันไม่มีโอกาสแก้ตัว ทั้งนี้ สิริมงคล รับทรัพย์ ร่ำรวย ตั้งเป้าพัฒนาวัดต้นแบบ ภายใน 3 ปี พร้อมขยายเครือข่ายการบริการทั่วประเทศ และผลักดัน “FuneralTech Platform” ให้เป็นระบบกลางด้านงานศพของไทย



อีกหนึ่งความโดดเด่นของอนัตตาบารมี คือแนวคิด “งานศพรักษ์โลก (Zero-Waste Funeral)ซึ่งมุ่งลดขยะและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากพิธีศพแบบดั้งเดิม โดยแทนที่จะใช้ดอกไม้สดจำนวนมากที่ต้องทิ้งหลังงาน บริษัทเลือกใช้ดอกไม้ต้นไม้จริง หรือ “พวงหรีดรีไซเคิล” ที่สามารถนำไปปลูกต่อได้ พร้อมใช้ QR Code แทนสมุดลงชื่อและซองเงินสด เพื่อลดการใช้กระดาษ และเพื่อตอบโจทย์ยุคดิจิทัล ทั้งนี้ อนัตตาบารมี กำลังพัฒนาแพลตฟอร์ม FuneralTech Application ซึ่งจะเป็นเครื่องมือให้ครอบครัวสามารถจองวัดและศาลาได้แบบเรียลไทม์ ตรวจสอบคิวและค่าใช้จ่ายล่วงหน้า และวางแผนพิธีศพของตนเอง (Pre-need Planning) ระบบจะเก็บข้อมูลอย่างปลอดภัย ตั้งแต่รูปแบบพิธี เพลงที่อยากให้เปิด ไปจนถึงข้อความสุดท้ายที่อยากฝากไว้กับคนรัก” ดร.ษรัญพัฒน์ กล่าว


นอกจากงานศพมนุษย์แล้ว อนัตตาบารมียังขยายบริการสู่ “พิธีฌาปนกิจสัตว์เลี้ยง” เพื่อตอบแทนความรักของเจ้าของที่มีต่อสัตว์เลี้ยงอย่างสุดหัวใจ พิธีจัดขึ้นด้วยความเรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยความอบอุ่น โดยมีค่านิยม 6 ประการของอนัตตาบารมี ได้แก่ 1. ทุกงานศพคือครั้งสุดท้ายของใครบางคน, 2. เบื้องหลังความเรียบร้อย คือหัวใจที่อ่อนโยน, 3. เราทำงานกับความสูญเสีย แต่ส่งมอบความทรงจำ, 4. ความสงบของเรา คือกำลังใจของเจ้าภาพ, 5. การให้เกียรติผู้จากไป คือการเคารพชีวิต

6. เราอาจเป็นผู้ให้บริการ แต่ลูกค้าจดจำเราในฐานะคนที่อยู่เคียงข้างวันสุดท้าย

 


อนัตตาบารมี” นำเสนอรูปแบบใหม่ของการจัดงานศพในแนวคิด One Price – One Heart คือ “จ่ายครั้งเดียวจบ ครบทุกค่าใช้จ่าย ไม่มีค่าแอบแฝง” ลูกค้าสามารถเลือกแพ็กเกจได้ตามงบประมาณและความต้องการ ได้แก่ แพ็กเกจเรียบง่าย สบายใจ ราคา 169,000 บาท และแพ็กเกจเพื่อการจากลาที่งดงาม ราคา 269,000 บาท โดยครอบคลุมทุกค่าใช้จ่ายตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ว่าจะเป็นค่าศาลา ค่าซองพระ ดอกไม้ เครื่องไทยธรรม อาหารเลี้ยงแขก โต๊ะหมู่ เครื่องเสียง เจ้าหน้าที่ และพิธีฌาปนกิจ

สอบถามข้อมูลติดต่อ บริษัท สิริมงคล รับทรัพย์ ร่ำรวย จำกัด

โทรศัพท์ : 080-929-4545

LINE : @sirimonkol

เว็บไซต์ : www.sirimonkolgroup.com

 


 

DMT คว้า CGR ระดับ “ดีเลศ” 5 ดาว 3 ปีซ้อน.และอยู่ในระดับ “Top Quartile” เป็นปีแรก จากการประเมิน “CGR 2025”

 DMT คว้า CGR ระดับ “ดีเลศ” 5 ดาว 3 ปีซ้อน.และอยู่ในระดับ “Top Quartile” เป็นปีแรก จากการประเมิน “CGR 2025”

ดร.ศักดิ์ดา พรรณไวย กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) หรือ DMT มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใสและมีบรรษัทภิบาล สร้างความแข็งแกร่งให้ธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด DMT ได้รับการประเมินตามโครงการสำรวจการกำกับดูแลกิจการบริษัทจดทะเบียน ประจำปี 2568 (CGR 2025) อยู่ในระดับ "ดีเลิศ (Excellent)" หรือ 5 ดาว ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 และจัดอยู่ในกลุ่ม “Top Quartile” หรือกลุ่มที่มีผลการประเมินดีที่สุดใน 25% แรกของกลุ่มบริษัทจดทะเบียนที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) ที่ 10,0001 - 30,000 บาท เป็นปีแรก จากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) ภายใต้การสนับสนุนของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)

ผลการประเมินในระดับ "ดีเลิศ" ซึ่งได้คะแนนสูงกว่า 90% ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 และถูกจัดให้อยู่ในกลุ่ม “Top Quartile” ครั้งนี้ สะท้อนถึงถึงศักยภาพของ DMT ในการเป็นผู้ให้บริการด้านระบบคมนาคม ขนส่ง และกิจการอื่น ๆ ด้วยระบบบริหารที่มีประสิทธิภาพ ล้ำสมัย อย่างยั่งยืน ภายใต้หลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาธุรกิจให้เติบโตแข็งแกร่งอย่างยั่งยืน ทั้งในระดับประเทศและระดับสากล ครอบคลุมมิติสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ (ESG) ในระยะยาวให้กับผู้ถือหุ้น และผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มด้วยหลักบรรษัทภิบาลที่ดีในทุกมิติ พร้อมสร้างความเชื่อมั่นและยกระดับมาตรฐานการกำกับดูแลกิจการของ DMT อย่างต่อเนื่อง


Thai-BISPA จัดงานประจำปี Thai-BISPA Day 2025 รวมพลังเครือข่ายผู้ขับเคลื่อนนวัตกรรมจากทั่วประเทศ

 Thai-BISPA จัดงานประจำปี Thai-BISPA Day 2025 รวมพลังเครือข่ายผู้ขับเคลื่อนนวัตกรรมจากทั่วประเทศ

เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2568 สมาคมหน่วยบ่มเพาะธุรกิจและอุทยานวิทยาศาสตร์ไทย (Thai Business Incubators and Science Parks Association: Thai-BISPA) ได้จัดการประชุมสัมมนาและนิทรรศการประจำปี Thai-BISPA Day 2025 ณ ห้อง Lumphini Grand Hall ชั้น 10 โรงแรมแกรนด์ เซนเตอร์ พอยต์ ลุมพินี กรุงเทพมหานคร

งานปีนี้จัดขึ้นภายใต้หัวข้อ “THAILAND’S NEXT INNOVATION FORCE - People Who Drive Innovation” สะท้อนถึงความสำคัญของบุคลากรด้านการจัดการนวัตกรรม (Innovation Management Professionals) และผู้ทำหน้าที่เป็นตัวกลางด้านนวัตกรรม (Innovation Intermediaries) ในฐานะกลไกเชิงกลยุทธ์ที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง โดยบุคลากรกลุ่มนี้ทำหน้าที่สนับสนุนธุรกิจนวัตกรรม (Innovation-Driven Enterprises) ไม่ว่าจะเป็นสตาร์ทอัพ เอสเอ็มอี หรือองค์กรขนาดใหญ่ ด้วยกลไกการถ่ายทอดองค์ความรู้และการให้คำปรึกษา ตลอดจนการเชื่อมโยงระบบนิเวศนวัตกรรม ทางสมาคมฯ ได้เปิดตัวแพลตฟอร์ม iLEAP (Innovation Leadership & Excellence Advancement Platform) แพลตฟอร์มที่จะเร่งการส่งเสริมศักยภาพและสร้างนักจัดการนวัตกรรมมืออาชีพแบบก้าวกระโดด

รศ.ดร. กิตติชัย ไตรรัตนศิริชัย นายกสมาคมฯ เปิดเผยว่า “สมาคม Thai-BISPA เป็นศูนย์กลางเครือข่ายของกิจกรรมบ่มเพาะธุรกิจและอุทยานวิทยาศาสตร์ไทย ในการพัฒนาและส่งเสริมวิสาหกิจใหม่ให้เกิดขึ้นในประเทศและในระดับสากล ปีนี้ถือเป็นปีที่ 16 ของสมาคมฯ ที่มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างศักยภาพกลไกสนับสนุนการใช้องค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สู่แนวทางปฏิบัติที่เหมาะสม ตอบสนองโอกาสและความท้าทาย อันจะนำไปสู่การสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในที่สุด

ดร. สุวิทย์ คุณกิตติ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ประธานบริหารบริษัท Origgin Ventures Thailand กล่าวถึงความร่วมมือระหว่าง Origgin Ventures Thailand และสมาคม Thai-BISPA ความร่วมมือที่มุ่งเสริมสร้างระบบนิเวศด้านนวัตกรรมและการพาณิชย์เทคโนโลยีของประเทศไทยให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยสุนทรพจน์นี้จะกล่าวถึงแนวทางที่ทั้งสององค์กรจะร่วมมือกันในการสนับสนุนการสร้างธุรกิจเทคโนโลยีงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยและภาคเอกชน การพัฒนาขีดความสามารถด้านการพาณิชย์ทรัพย์สินทางปัญญาและการสร้างกิจการใหม่ การเชื่อมโยงผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในเครือข่ายนวัตกรรม และการเปิดโอกาสให้สตาร์ทอัพและเทคโนโลยีของไทยก้าวสู่ระดับภูมิภาคและนานาชาติ

ภายในงานมีพิธีลงนามความร่วมมือ ระหว่างสมาคมฯ กับ Origgin Ventures Thailand การเปิดตัวผู้เข้าร่วมโครงการ University Venture Creation Program (UVC Program) ซึ่งเป็นโครงการที่มีเป้าหมายเพื่อยกระดับความสามารถสถาบันอุดมศึกษาในการถ่ายทอดงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์ เสริมสร้างศักยภาพด้านการบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญาและเกิดการพัฒนาธุรกิจเทคโนโลยีที่ประสบความสำเร็จ และเป็นปีแรกที่ Thai-BISPA ร่วมมือกับ Sustainism Initiatives มอบประกาศนียบัตร INNO For Sustain ซึ่งเป็นการเชิดชูนวัตกรรมที่โดดเด่นด้านความยั่งยืน

นอกจากจะมีการออกบูธของหน่วยงานเครือข่ายสมาชิกแล้ว ทางสมาคมฯ ยังได้ร่วมกับหน่วยงานสมาชิกกิตติมศักดิ์ บริษัท CP All จำกัด (มหาชน) ในการจัดกิจกรรม Business Matching เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับผู้ประกอบการในเครือข่ายอีกด้วย

เป็นประจำทุกปีสำหรับรางวัล Thai BISPA Awards ที่ปีนี้ ทางสมาคมฯ พร้อมเงินรางวัลมูลค่ากว่า 100,000 บาท มอบแก่ผู้ประกอบการที่มีศักยภาพโดดเด่นในการพัฒนาธุรกิจและนวัตกรรม สามารถสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยรางวัลชนะเลิศผู้ประกอบการดีเด่น (Best Incubatee Award) ได้แก่ บริษัท สไปก์ อาร์ชิ เทคโทนิคส์ จำกัด และ บริษัท สาติ จำกัด และทางสมาคมฯ ยังร่วมแสดงความยินดีแก่ผู้ประกอบการที่คว้ารางวัลจาก AABI Awards ประจำปี 2025 จัดขึ้นโดยสมาคมหน่วยบ่มเพาะธุรกิจเอเชีย เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2025 ที่ผ่านมา ณ เมืองซูราการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย โดยปีนี้ประเทศไทยมีผู้ประกอบการที่ได้รับรางวัลถึง 2 รางวัล ประกอบด้วย รางวัล AABI Torch Award for Best Nominee (Thailand) คือ บริษัท พีทูเอ อินโนเวชั่น จำกัด  และ รางวัล AABI Torch Award for Internationalization คือบริษัท แน็พ ไบโอเทค จำกัด

เพื่อเป็นการส่งเสริมระบบนิเวศนวัตกรรมของประเทศไทย ในการนี้ ทางสมาคมฯ ได้มอบโล่ประกาศเกียรติคุณแก่หน่วยงานภาครัฐที่มีบทบาทสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในกับผู้ประกอบการและนวัตกรรมของไทย จำนวน 4 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) กองทุนพัฒนาผู้ประกอบการเทคโนโลยีและนวัตกรรม และอุทยานวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

กิจกรรมในครั้งนี้ นับเป็นช่องทางในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เชื่อมโยงเครือข่ายนวัตกรรม เพื่อร่วมสร้างสรรค์ธุรกิจนวัตกรรมของประเทศไทยสู่เวทีระดับสากล

สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ www.thaibispa.or.th


นักวิชาการชี้ “ไม่เทรวม” กทม. คือ จุดเริ่มต้นที่สำคัญ สถาบันสิ่งแวดล้อมไทยหนุนเร่งเครื่อง ชวนคนกรุงร่วมเปลี่ยนเมืองอย่างยั่งยืน

  นักวิชาการชี้ “ไม่เทรวม” กทม. คือ จุดเริ่มต้นที่สำคัญ สถาบันสิ่งแวดล้อมไทยหนุนเร่งเครื่อง ชวนคนกรุงร่วมเปลี่ยนเมืองอย่างยั่งยืน



สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI)  ชู นโยบาย "ไม่เทรวม" ของกรุงเทพมหานคร เป็นการเริ่มต้นที่สำคัญในการปฏิรูประบบการจัดการขยะ แม้ว่ายอดผู้เข้าร่วมลงทะเบียนล่าสุดจะสูงทะลุถึงจำนวน 896,876 หลังคาเรือน (ข้อมูล ณ วันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2568) จากจำนวนทั้งหมดที่มีคุณสมบัติรับสิทธิ์ประมาณ 2,479,740 หลังคาเรือน คิดเป็น 36.17%ยังต้องเร่งสร้างการมีส่วนร่วมให้มากขึ้น ด้านสถาบันสิ่งแวดล้อมไทยย้ำ "ทุกคนทำได้" ชวนคนกรุงมาร่วมกันปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเล็ก ๆ เริ่มต้นจากที่บ้าน สู่การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ของเมือง 

ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย ได้แสดงมุมมองถึงโครงการ “บ้านนี้ไม่เทรวม : แยกขยะลดค่าธรรมเนียม” ของกรุงเทพมหานครว่าแม้การลงทะเบียนผู้เข้าร่วมอยู่ที่ 896,876 หลังคาเรือน (ข้อมูล ณ วันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2568) แบ่งเป็น ลงทะเบียนแบบเดี่ยว (บ้านพักอาศัย) 333,911 หลังคาเรือน ลงทะเบียนแบบกลุ่ม (คอนโดมิเนียม บ้านจัดสรร ชุมชน แฟลต) จำนวน 3,768 แห่ง 562,965 หลังคาเรือน ซึ่งจากยอดจำนวนตัวเลขผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ ข้างต้นแสดงให้เห็นถึงว่าคนกรุงเริ่มตระหนักรู้ถึงปัญหาขยะที่ได้สร้างผลกระทบเชิงลบในทุกมิติทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม ทำให้ทุกคนเริ่มอยากเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างการเปลี่ยนแปลงระบบการบริหารจัดการขยะให้เกิดความยั่งยืนดังนั้น กรุงเทพมหานครต้องเร่งเดินหน้าในการสร้างความรู้ความเข้าใจและสื่อสารข้อมูลให้ประชาชนได้เห็นถึงความสำคัญในการคัดแยกขยะก่อนทิ้ง (ไม่เทรวม) รวมทั้ง อำนวยความสะดวกให้ประชาชนในการแสดงผลการดำเนินการผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ ที่หลากหลาย

เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมเพราะถือเป็นสิ่งสำคัญ พร้อมชี้ว่า ตอนนี้กรุงเทพมหานครกำลังอยู่ระหว่างการปรับระบบอย่างต่อเนื่อง ทั้งการจัดเก็บ การขนส่ง และการนำขยะที่แยกแล้วไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดซึ่งกรุงเทพมหานครได้พยายามอำนวยความสะดวกให้ประชาชนเข้าร่วมได้ง่ายขึ้น

"กทม. ก็พยายามที่อำนวยความสะดวกให้ประชาชนดำเนินการง่ายขึ้นเพียงถ่ายรูปตอนแยกขยะ ถ่ายรูปการเอาขยะรีไซเคิลไปขาย และเมื่อถ่ายรูปเสร็จก็นำส่งให้กรุงเทพมหานคร แล้วก็ส่งผ่านแพลตฟอร์มที่ใช้งานง่ายสามารถที่จะรายงานไปตามแบบฟอร์มต่าง ๆ ได้ ซึ่งวิธีนี้เป็นการดำเนินการง่าย ๆ ที่ทุกคนสามารถทำได้ ซึ่งสิ่งนี้ถือเป็นตัวช่วยให้การดำเนินงานสะดวกมากขึ้น

ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย ได้กล่าวเสริมว่า โครงการ “บ้านนี้ไม่เทรวม : แยกขยะลดค่าธรรมเนียม” ไม่ใช่แค่การลดปริมาณขยะที่ต้องนำไปฝังกลบ แต่คือการสร้างวัฒนธรรมใหม่ให้กรุงเทพฯ การเริ่มต้นที่บ้านด้วยการคัดแยกขยะอาหาร ออกจากขยะทั่วไปและขยะรีไซเคิล คือ หัวใจสำคัญการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ส่งผลกระทบเชิงบวกที่ยิ่งใหญ่ได้ พร้อมเน้นย้ำถึงประโยชน์ของการคัดแยกขยะที่ต้นทาง ซึ่งสามารถนำไปต่อยอดได้หลากหลาย ทั้งเรื่องของการหมักปุ๋ยหรือสารบำรุงดิน การนำไปเป็นอาหารสัตว์ เลี้ยงปลา ในขณะเดียวกันขยะรีไซเคิลถ้าแยกแล้วก็สามารถที่จะสร้างรายได้ให้ชุมชนได้และเป็นการใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่าตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน

"โครงการนี้ของกรุงเทพมหานคร ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่ขณะเดียวกันสิ่งที่สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย ในฐานะองค์กรพัฒนาเอกชนที่ขับเคลื่อนงานด้านสิ่งแวดล้อมอยากเห็นคือทำยังไงให้เราเกิดการปฏิบัติจริง ๆ แล้วมันก็จะมีผลดีต่อสิ่งแวดล้อม ผลดีต่อภาพรวมของประเทศของโลก รวมทั้งอยากให้ท้องถิ่นอื่น ๆ ดำเนินการในลักษณะคล้าย ๆ กัน เพื่อขยายผลไปสู่การบริหารจัดการขยะอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ กรุงเทพมหานคร ขอเชิญชวนประชาชนทุกคนมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้ที่ทุกคนทำได้ด้วยตัวเอง เริ่มต้นด้วยการคัดแยกขยะที่บ้าน ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ "ไม่เทรวม" และรายงาน ผ่านช่องทางต่าง ๆ ของ กทม. เพื่อกรุงเทพฯ ที่สะอาดขึ้นและน่าอยู่ยิ่งขึ้นสำหรับเราทุกคน 

ขอบคุณภาพจาก Facebook กรุงเทพมหานคร

###


มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เดินสายสร้างอาชีพ สร้างชีวิตอย่างยั่งยืนต่อเนื่อง มอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพ ให้แก่ครัวเรือนยากจนในพื้นที่จังหวัดชุมพร รวมมูลค่ากว่า 1 ล้านบาท พร้อมนำหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกบริการในพื้นที่ฟรี ณ หอประชุมแปดเหลี่ยม โครงการพัฒนาพื้นที่หนองใหญ่ตามพระราชดำริ ตำบลบางลึก อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร

 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เดินสายสร้างอาชีพ สร้างชีวิตอย่างยั่งยืนต่อเนื่อง มอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพ ให้แก่ครัวเรือนยากจนในพื้นที่จังหวัดชุมพร รวมมูลค่ากว่า 1 ล้านบาท พร้อมนำหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกบริการในพื้นที่ฟรี ณ หอประชุมแปดเหลี่ยม โครงการพัฒนาพื้นที่หนองใหญ่ตามพระราชดำริ ตำบลบางลึก อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร






วันนี้ (วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2568) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายสุรพงษ์  เตชะหรูวิจิตร กรรมการและรองเลขาธิการ พร้อมด้วย นางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์  นางสาวศุภรัตน์ สมบัติเจริญไทย หัวหน้าแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ และนางสาวเนาวรัตน์ วรรณศิริ หัวหน้าแผนกหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน นำทีมลงพื้นที่จังหวัดชุมพร มอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพให้แก่ครัวเรือนยากจน ในพื้นที่จังหวัดชุมพร (จังหวัดที่ 2 ของทางภาคใต้) จำนวน 42 ครัวเรือน คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 1,012,670 บาท (หนึ่งล้านหนึ่งหมื่นสองพันหกร้อยเจ็ดสิบบาทถ้วน) พร้อมจัดหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน นำทีมแพทย์อาสาฯ เจ้าหน้าที่หน่วยแพทย์ ทีมบรรเทาสาธารณภัย (กู้ชีพ) และอาสาสมัครลงพื้นที่ให้บริการประชาชนฟรี ประกอบด้วย บริการตรวจรักษาโรคทั่วไป จ่ายยา ทันตกรรม คัดกรองเบาหวาน กิจกรรมนันทนาการ ตรวจวัดสายตาพร้อมแจกแว่น บริการตัดผมชาย-หญิง และกิจกรรมนันทนาการ โดยมี นายเธียรชัย ชูกิตติวิบูลย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร พร้อมด้วย นายสงัด พืชพันธุ์ ผู้ตรวจราชการกรมการพัฒนาชุมชน เป็นประธานร่วมในพิธี  คณะมูลนิธิชุมพรการกุศลสงเคราะห์  เป็นผู้ประสานงานและร่วมในพิธี  พร้อมด้วย อาสาสมัครศิลปินมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายกวินรัฏฐ์ ยศอมรสุนทร (หยวน-กวินรัฏฐ์) และนางสาวพัชร์สิตา อธิอนันตศักดิ์ (เกรซ-พัชร์สิตา) ร่วมในพิธี  ณ หอประชุมแปดเหลี่ยม โครงการพัฒนาพื้นที่หนองใหญ่ตามพระราชดำริ ตำบลบางลึก อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร







โครงการแก้ไขปัญหาความยากจนเชิงบูรณาการ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้สนับสนุนอุปกรณ์ประกอบอาชีพ ช่วยเหลือครัวเรือนยากจน ตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือแก้ไขปัญหาความยากจน  ระหว่างกรมการพัฒนาชุมชนและมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง  ซึ่งมูลนิธิฯ ได้จัดงบประมาณดำเนินการเพื่อจัดหาวัสดุอุปกรณ์การประกอบอาชีพมอบให้แก่ครัวเรือนยากจน ให้สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัว โดยได้ดำเนินการไปแล้ว 3 ระยะ โดยกลุ่มเป้าหมายแรก ระยะที่ 1 ดำเนินการในพื้นที่ภาคกลางแล้วจำนวน 17 จังหวัด รวม 98 ครัวเรือน ระยะที่ 2 ได้ดำเนินการในพื้นที่ภาคเหนือแล้วจำนวน 17 จังหวัด รวม 230 ครัวเรือน ระยะที่ 3 ได้ดำเนินการในพื้นที่จังหวัด ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือเหนือ 20 จังหวัด รวม 485 ครัวเรือน นอกจากนี้ยังได้มอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพให้กับครัวเรือนยากจนผู้ประสบอุทกภัย ประจำปี พ.ศ.2567 ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ และ จังหวัดเชียงราย อีกจำนวน 57 ครัวเรือน รวมจำนวนครัวเรือนยากจนที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้สร้างอาชีพ สร้างชีวิต ด้วยการมอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพแล้วทั้งสิ้น 870 ครัวเรือน คิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 17 ล้านบาท รวมจำนวนครัวเรือนยากจนที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้สร้างอาชีพ สร้างชีวิต ด้วยการมอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพแล้วทั้งสิ้น 870 ครัวเรือน คิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 17 ล้านบาท  และในขณะนี้ได้พิจารณาดำเนินการพื้นที่ภาคใต้ รวม 14 จังหวัด ได้แก่ ชุมพร สุราษฎร์ธานี ระนอง นครศรีธรรมราช พังงา พัทลุง สงขลา ตรัง สตูล กระบี่ ภูเก็ต ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส






ตลอดระยะเวลากว่า 115 ปี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง  ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลายทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธาน “มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”



ติดต่อสอบถาม และติดตามข่าวสาร และกิจกรรมของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung และช่องทางอื่นๆ ที่สะดวกได้ที่ https://linktr.ee/pohtecktung หรือที่สายด่วนป่อเต็กตึ๊ง 1418

.

## ป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต ## 

#แอปพลิเคชันป่อเต็กตึ๊ง1418 #ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน

กรมพัฒน์ Upskill ช่างเชื่อม สงขลา อาชีพรายได้ดี ตอบโจทย์ตลาดแรงงานยุคใหม่ตามมาตรฐานสากล

 กรมพัฒน์ Upskill ช่างเชื่อม สงขลา อาชีพรายได้ดี ตอบโจทย์ตลาดแรงงานยุคใหม่ตามมาตรฐานสากล

วันที่ 31 ตุลาคม 2568 นายสมาสภ์ ปัทมะสุคนธ์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เป็นประธานเปิดโครงการสัมมนา “การพัฒนาบุคลากรรองรับเทคโนโลยีงานเชื่อมสมัยใหม่” ของสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 12 สงขลา มีนายสมชาติ สุภารี รองอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ผู้ตรวจราชการกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ผู้อำนวยการสถาบันและสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงาน และผู้เข้าฝึกอบรม ร่วมพิธีด้วย ณ ห้องประชุม ไทย - เยอรมัน สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 12 สงขลา


นายสมาสภ์ ปัทมะสุคนธ์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เปิดเผยหลังเสร็จสิ้นพิธีเปิดว่า ผมมีความยินดีและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ได้มาเป็นประธานในพิธีเปิดโครงการสัมมนา “การพัฒนาบุคลากรรองรับเทคโนโลยีงานเชื่อมสมัยใหม่” ของสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 12 สงขลา ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งเดียวในสังกัดกรมพัฒนาฝีมือแรงงานที่สามารถดำเนินการจัดฝึกอบรมในสาขาช่างเชื่อมและตัดโลหะใต้น้ำที่ตอบโจทย์ตลาดแรงงานทั้งในและต่างประเทศได้ ประกอบกับปัจจุบันอาชีพช่างเชื่อม และช่างเชื่อมใต้น้ำ เป็นอาชีพที่มีรายได้สูง ต้องใช้ทักษะ และความเชี่ยวชาญเป็นอย่างมาก สามารถทำงานได้ทั้งในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม อู่ต่อเรือ งานซ่อมบำรุง แท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ จึงเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานทั้งในและต่างประเทศ การพัฒนาทักษะที่ทันต่อสถานการณ์ปัจจุบันจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง



นายสมาสภ์ กล่าวต่อว่า งานในวันนี้จัดขึ้นเพื่อเสริมสร้างศักยภาพและยกระดับความรู้ของบุคลากรด้านการเชื่อมโลหะและการดำน้ำเชิงพาณิชย์ (Commercial Diving) ให้ทันต่อแนวโน้มและทิศทางการพัฒนาเทคโนโลยีในยุคอุตสาหกรรมสมัยใหม่ โดยเน้นทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ครอบคลุมมาตรฐานฝีมือแรงงาน มาตรฐานสากล ตลอดจนข้อกำหนดด้านความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องกับงานเชื่อมและการดำน้ำเชิงพาณิชย์ มีการบรรยายเรื่อง Designation หรือการแปลความหมายใบรับรองช่างเชื่อม (Welder Qualification Test Certificate) ตามมาตรฐานสากล ISO 9606 รวมถึงการสาธิตเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น การเชื่อมด้วยไฟเบอร์เลเซอร์ การทำความสะอาดผิวชิ้นงานด้วยเลเซอร์ การเชื่อมด้วยหุ่นยนต์ การเชื่อมแบบ Plasma และ CMT ตลอดจนเทคโนโลยีการเชื่อมเสมือนจริง (Welding Simulator) และการเชื่อม–ตัดโลหะใต้น้ำ ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยเปิดมุมมองใหม่ให้แก่ผู้เข้าร่วมโครงการ และสร้างแรงบันดาลใจในการพัฒนาทักษะเพื่อยกระดับขีดความสามารถของแรงงานไทยให้เทียบเท่ามาตรฐานสากล 




นอกจากนี้ขอขอบคุณบริษัท ปตท.สผ. เอนเนอร์ยี่ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด และบริษัท วรชาติ กรุ๊ป จำกัด ที่ร่วมกันสนับสนุนงบประมาณการฝึกอบรม หลักสูตรการเชื่อมทิกเหล็กสเตนเลสต่อฟิลเลท และหลักสูตรการเชื่อมและตัดโลหะใต้น้ำด้วยไฟฟ้า ทำให้แรงงานไทยได้รับความรู้และประสบการณ์ตรง สามารถนำไปพัฒนาทักษะและต่อยอดสู่การปฏิบัติงานจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

รองนายกฯ สุชาติ ประชุม กทช. ครั้งที่ 2/2568 เคาะเกณฑ์ใช้ประโยชน์ที่ดินป่าชายเลน เพื่อแก้ไขปัญหาการอยู่อาศัยและทำกินของประชาชน

  รองนายกฯ สุชาติ ประชุม กทช. ครั้งที่ 2/2568 เคาะเกณฑ์ใช้ประโยชน์ที่ดินป่าชายเลน เพื่อแก้ไขปัญหาการอยู่อาศัยและทำกินของประชาชน      วันที่ ...