วันพฤหัสบดีที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2568

NT แจ้งยกเลิกบริการ NT Mobile พร้อมเตรียมโอนย้ายผู้ใช้บริการสู่โครงข่าย my by NT โดยอัตโนมัติ

 NT แจ้งยกเลิกบริการ NT Mobile  พร้อมเตรียมโอนย้ายผู้ใช้บริการสู่โครงข่าย my by NT โดยอัตโนมัติ

 บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT ขอแจ้งให้ผู้ใช้บริการ NT Mobile ทราบว่า ตามที่ใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ย่าน 2100 MHz และ 2300 MHz ซึ่งใช้ในการให้บริการ NT Mobile จะสิ้นสุดลงในวันที่ 3 สิงหาคม 2568


ทั้งนี้ ผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ NT Mobile สามารถใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้อย่างต่อเนื่อง โดยจะดำเนินการโอนย้ายผู้ใช้บริการ NT Mobile ขึ้นสู่โครงข่ายบริการ my by NT บนคลื่นความถี่ 700 MHz โดยอัตโนมัติในเดือนมิถุนายน 2568  โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนซิมการ์ด ซึ่งเมื่อโอนย้ายสำเร็จ ผู้ใช้บริการจะได้รับ SMS แจ้งต้อนรับพร้อมแจ้งรายละเอียดแพ็กเกจ และการตั้งค่า APN สำหรับใช้งานอินเทอร์เน็ต โดยแนะนำให้ปิด - เปิดเครื่อง 1 ครั้งเพื่อเริ่มใช้งานต่อไป


สำหรับในส่วนของแพ็กเกจบริการ NT จะบริหารจัดการแพ็กเกจเดิมของผู้ใช้บริการ NT Mobile ทั้งแบบรายเดือนและเติมเงิน พร้อมนำเสนอแพ็กเกจใหม่ที่สอดคล้องกับบริการ my by NT เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้บริการให้สามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง

 

ทั้งนี้การยุติบริการ NT Mobile ดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อบริการอื่น ๆ ของ NT ไม่ว่าจะเป็นบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (Fixed Broadband), บริการโทรศัพท์พื้นฐาน, Data Center, Cloud, วงจรเช่า (Leased Line), ICT Solutions และบริการโทรคมนาคมอื่น ๆ แต่อย่างใด โดยสามารถให้บริการได้ตามปกติ ภายใต้มาตรฐานคุณภาพและความมั่นคงปลอดภัยสูงสุด


NTขอขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่ให้ความไว้วางใจในบริการของเราเสมอมาและขอยืนยันถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนานวัตกรรมและการให้บริการสื่อสารที่ครอบคลุม มีเสถียรภาพและตอบโจทย์การใช้งานของทุกภาคส่วนสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม NT Contact Center โทร. 1888 หรือเว็บไซต์ www.ntplc.co.th


อย. ร่วม ตำรวจสอบสวนกลาง(CIB) บุกค้น 2 จุด ทลายเครือข่ายโรงงานเถื่อน ผลิตยาแก้ไอปลอม เตรียมส่งขายสายสี่คูณร้อย ยึดของกลางมูลค่ากว่า 20 ล้านบาท

 อย. ร่วม ตำรวจสอบสวนกลาง(CIB) บุกค้น 2 จุด ทลายเครือข่ายโรงงานเถื่อน ผลิตยาแก้ไอปลอม เตรียมส่งขายสายสี่คูณร้อย ยึดของกลางมูลค่ากว่า 20 ล้านบาท


สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา โดย นพ.สุรโชค  ต่างวิวัฒน์ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา นพ.รุ่งฤทัย มวลประสิทธิ์พร รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดย พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ต.ณัฐศักดิ์  เชาวนาศัย รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.โสภณ  สารพัฒน์ รอง ผบช.ก., เจ้าหน้าที่ตำรวจ ปคบ. โดยการสั่งการของ พล.ต.ต.พัฒนศักดิ์ บุบผาสุวรรณ ผบก.ปคบ., พ.ต.อ.สำเริง  อำพรรทอง,พ.ต.อ.อนุวัฒน์  รักษ์เจริญ,พ.ต.อ.ชัฏฐ  นากแก้ว,พ.ต.อ.ภาคภูมิ  ศรีลาภะมาศ, พ.ต.อ.ปทักข์  ขวัญนา,พ.ต.อ.เถกิงวุฒิ  กิตติศุภคุณ, พ.ต.อ.พัฒนพงศ์  ศรีพิณเพราะ,พ.ต.อ.จักราวุธ  วัฒนศิริ รอง ผบก.ปคบ.,พ.ต.อ.วีระพงษ์  คล้ายทอง ผกก.4 บก.ปคบ., ปฏิบัติการจับกุมกวาดล้างเครือข่ายผู้ผลิตและจำหน่ายยาแก้ไอปลอมรายใหญ่ในพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ตรวจยึด อายัด ยาสำเร็จรูป เครื่องจักร เครื่องมือ อุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิต และวัตถุดิบจำนวนมาก ซึ่งหากนำไปผลิตเป็นยาสำเร็จรูปได้ทั้งหมด จะมีมูลค่ากว่า 20,000,000 บาท



สืบเนื่องจากกองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภคได้ ได้สืบทราบจากสื่อสังคมออนไลน์ว่ามีการนำยาแก้ไอชนิดน้ำเชื่อม หรือยาบางชนิดมาใช้ผิดวัตถุประสงค์ โดยนำมาผสมกับน้ำกระท่อมดื่มเพื่อความสร้างความมึนเมาและเสพติดเป็นจำนวนมาก หรือที่เรียกกันว่า 4X100 ส่งผลให้เกิดการลักลอบผลิตและขายยาโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยการเสพยาเสพติดชนิดนี้ เป็นจุดเริ่มต้นให้กลุ่มวัยรุ่นยกระดับการเสพสารเสพติดในรูปแบบอื่นที่รุนแรงมากขึ้นได้ เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของยาเสพติดชนิดดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงมีการเฝ้าระวังการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยาน้ำแก้แพ้ แก้ไอ อย่างเข้มงวดและต่อเนื่อง


ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการสืบสวนหาข่าวพบว่า มีการลักลอบผลิตยาแก้ไอปลอมและทราบถึงกลุ่มเครือข่ายผู้ผลิตยาแก้ไอปลอมว่ามีการลักลอบผลิต และบรรจุ อยู่ในพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา

โดยในวันที่ 24 เมษายน 2568 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.4 บก.ปคบ. ได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพระนครศรีอยุธยา นำหมายค้นเข้าตรวจค้นสถานที่ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและการขายยาแก้ไอปลอม จำนวน 2 จุด ดังนี้

1. สถานที่ผลิตและแบ่งบรรจุ ในพื้นที่ ม.2 ต.บ้านหีบ อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา 

2. สถานที่ผลิต ในพื้นที่ ม.4 ต.บ้านหีบ อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา 

โดยตรวจยึดและอายัด ยาแก้ไอปลอม วัตถุดิบ อุปกรณ์การผลิต และบรรจุภัณฑ์ รวมทั้งสิ้นหลายรายการ 

1) ยาแก้ไอสำเร็จรูปปลอม ยี่ห้อ “ดาทิสซิน”  จำนวน    172,000 ขวด

2) ยาแก้ไอที่อยู่ระหว่างผลิตบรรจุลงขวด  จำนวน      6,160 ขวด

3) เครื่องจักรและเครื่องมือที่ใช้ในการผลิต จำนวน     23 เครื่อง

4) ขวดเปล่ารอการบรรจุ จำนวน   96,410 ขวด

5) ฉลากยาแก้ไอปลอม จำนวน       42,500 ดวง

6) สารเคมี วัตถุดิบ และอุปกรณ์การผลิตอื่นกว่า 30 รายการ รวมประมาณ 8,000 ชิ้น 

     รวมมูลค่าของกลางทั้งสิ้นประมาณ 20 ล้านบาท 

จากการสืบสวนพบว่าผู้กระทำความผิด นำส่วนผสม วัตถุดิบ และบรรจุภัณฑ์จากสถานที่ต่าง ๆ มาลักลอบผลิตในโกดังในพื้นที่ ม.4 ต.บ้านหีบ อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา จากนั้นจะนำมาแบ่งบรรจุลงขวดที่โกดังอีกแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ ม.2 ต.บ้านหีบ อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา (ห่างกันประมาณ 500 เมตร)  โดยมีแรงงานต่างชาติเป็นคนงาน และจะย้ายสถานที่ผลิตไปเรื่อย ๆ เพื่อให้ยากแก่การติดตาม ตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และยังสืบสวนทราบว่ากลุ่มผู้กระทำผิดดังกล่าว เป็นผู้ที่ได้รับการว่าจ้างผลิตยาแก้ไอปลอม ให้กับเครือข่ายผู้กระทำความผิด ในการผลิต และจำหน่ายยาแก้ไอปลอม ในพื้นที่ จ.สมุทรสาคร, จ.นครปฐม และพื้นที่จังหวัดใกล้เคียง  ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.4 บก.ปคบ. ได้เข้าทำการตรวจค้นไปแล้ว เมื่อต้นเดือนสิงหาคม 2567 และต้นเดือนมกราคม 2568 ที่ผ่านมา แต่ยังกระทำผิดซ้ำซากโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้บริโภค หวังแต่ผลประโยชน์ทางด้านธุรกิจ สร้างปัญหาให้แก่สังคมส่วนรวม


เบื้องต้นการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510

1. ฐาน “ผลิตและขายยาโดยไม่ได้รับอนุญาต” โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 10,000 บาท  

2. ฐาน “ผลิต และขายยาปลอม” โทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปี ถึงตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ 10,000 ถึง 50,000 บาท

นพ.รุ่งฤทัย มวลประสิทธิ์พร รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวว่า ขอย้ำเตือนผู้ที่นำยาแก้แพ้ แก้ไอ ไปใช้ผสมในสูตร 4x100 อาจได้รับอันตรายจากยาดังกล่าว ทั้งนี้พบว่ามีการลักลอบผลิตยาน้ำแก้แพ้ แก้ไอปลอม เป็นจำนวนมาก และสถานที่ผลิตไม่ได้มาตรฐาน GMP สกปรก ไม่ถูกสุขลักษณะ ยาที่ผลิตมีการปนเปื้อนจนก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภคได้ ถึงแม้ว่า อย. จะเพิ่มมาตรการควบคุม ป้องกันการลักลอบนำยาน้ำ แก้แพ้ แก้ไอ ไปใช้ในทางที่ผิด อย่างเข้มงวด ตั้งแต่การนำเข้าสารเคมีที่ใช้ในการผลิตยาไปจนถึงการขายยาสำเร็จรูป โดยผู้ที่จะนำเข้าสารเคมี ผู้ผลิตและขายยา ต้องได้รับอนุญาตจาก อย. และต้องจัดทำรายงานการนำเข้าสารเคมี การผลิต และขายยา รายงานต่อ อย.ทุก 4 เดือน ซึ่งกรณีที่พบว่าผู้รับอนุญาตฝ่าฝืนมาตรการดังกล่าว จะส่งดำเนินคดีตามกฎหมายและมีบทลงโทษพักใช้ใบอนุญาตและสั่งงดผลิตยา  

สำหรับการเฝ้าระวังการลักลอบผลิตยาปลอมหรือยาไม่มีทะเบียนตำรับยานั้น ทาง อย. ได้ประสานการทำงานร่วมกับ บก.ปคบ. มาโดยตลอด แต่ยังคงพบปัญหาการลักลอบผลิตอยู่ จึงขอให้ประชาชนช่วยเป็นหูเป็นตา แจ้งเบาะแสแหล่งผลิต ขาย เพื่อลดการนำยาไปใช้ในทางที่ผิด จนเป็นสาเหตุของการเสพติดยาที่รุนแรงขึ้นตามมา  สร้างปัญหาให้กับสังคม เดือดร้อนผู้ปกครองและคนในชุมชน หากผู้ใดพบการลักลอบผลิต นำเข้า ขาย ผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ผิดกฎหมาย สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่สายด่วน อย. 1556 หรือผ่าน Email: 1556@fda.moph.go.th, Line: @FDAThai, Facebook: FDAThai หรือ ตู้ปณ.1556 ปณฝ. กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี 11004 หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อจะได้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

พล.ต.ต.พัฒนศักดิ์  บุบผาสุวรรณ ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค กล่าวว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.4 บก.ปคบ. ได้ร่วมกับ อย. ตรวจสอบ เฝ้าระวังการผลิตและขายกลุ่มยาน้ำแก้ไอ ยาแก้แพ้ ซึ่งเป็นยาอันตรายไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ในกลุ่มเสี่ยง และกลุ่มวัยรุ่นในลักษณะสารเสพติดที่เรียกว่า “4x100” เพื่อหวังผลให้เกิดอาการมึนเมา รวมถึงมีการลักลอบขายทางอินเทอร์เน็ต มาโดยตลอด 

ซึ่งยาเป็นปัจจัย 4 ที่ประชาชนจะใช้รักษาเยียวยาเมื่อป่วยไข้อันดับแรก และส่งผลโดยตรงกับสุขภาพของประชาชน หากรับประทานยาปลอมที่ผลิตโดยไม่ได้มาตรฐาน ไม่มีตัวยาเป็นส่วนผสมอาจทำให้การรักษาไม่ได้ผล หรืออาจได้รับยาจนเกินขนาด ได้รับอันตรายถึงชีวิต  จึงควรเลือกซื้อยาจากร้านขายยาที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย มีเภสัชกรปฏิบัติหน้าที่ เพื่อเป็นหลักประกันว่ายาที่จะได้รับมีคุณภาพ มาตรฐาน ทั้งนี้ บก.ปคบ.จะดำเนินการกวดขันจับกุมผู้ผลิตและขายยาปลอม รวมถึงกวาดล้างผู้ที่ผลิตและขายยาโดยไม่ได้รับอนุญาตให้ถึงที่สุด โดยประชาชนทั่วไปหากพบเห็นการกระทำความผิด สามารถแจ้งได้ที่ สายด่วน ปคบ. 1135 หรือเพจ ปคบ.เตือนภัยผู้บริโภค

ผู้ต้องหาหรือจําเลยยังเป็นผู้บริสุทธิ์ตราบใดที่ศาลยังไม่มีคําพิพากษาถึงที่สุด


************************************


การบินไทยจัดงาน “รักคุณเท่าฟ้า 2568” ฉลองครบรอบ 65 ปี มอบประสบการณ์เหนือระดับพร้อมข้อเสนอสุดพิเศษมากมาย 24 – 27 เม.ย. นี้ ตอกย้ำความเชื่อมั่นและความพร้อมสู่อนาคต

 การบินไทยจัดงาน “รักคุณเท่าฟ้า 2568” ฉลองครบรอบ 65 ปี มอบประสบการณ์เหนือระดับพร้อมข้อเสนอสุดพิเศษมากมาย 24 – 27 เม.ย. นี้ ตอกย้ำความเชื่อมั่นและความพร้อมสู่อนาคต

บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) จัดงานใหญ่ประจำปี “รักคุณเท่าฟ้า 2568” ระหว่างวันที่ 24 – 27 เมษายน 2568 ณ ลานแฟชั่นฮอลล์ ชั้น 1 ศูนย์การค้าสยามพารากอน เพื่อตอบแทนลูกค้าที่ให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง พร้อมเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 65 ปีของการก่อตั้งสายการบิน  ผ่านข้อเสนอสุดพิเศษและกิจกรรมมากมายให้ได้ร่วมสนุกตลอดทั้งงาน โดยมี ดร. ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ เป็นประธานในพิธีเปิดงาน พร้อมด้วย นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และนายกรกฏ ชาตะสิงห์ ประธานเจ้าหน้าที่สายการพาณิชย์ ร่วมในพิธี


ดร. ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในวาระครบรอบ 65 ปีของการก่อตั้งการบินไทย เราขอขอบคุณพนักงาน ผู้ถือหุ้น เจ้าหนี้ พันธมิตรทางธุรกิจ คู่ค้า และที่สำคัญที่สุดคือผู้โดยสารทุกท่าน ที่มอบความไว้วางใจและการสนับสนุนแก่การบินไทยเสมอมา งาน ‘รักคุณเท่าฟ้า 2568’ จึงถือเป็นโอกาสที่เราตั้งใจมามอบของขวัญพิเศษมากมาย เพื่อตอบแทนอุปการคุณที่ลูกค้ามีต่อการบินไทย พร้อมตอกย้ำความมุ่งมั่นในการยกระดับคุณภาพการบริการและมาตรฐานการบิน เพื่อมอบประสบการณ์การเดินทางที่น่าประทับใจยิ่งขึ้น สะท้อนถึงศักยภาพและความพร้อมของเราในการก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืน”

นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า “งาน ‘รักคุณเท่าฟ้า 2568’ ครั้งนี้ จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Always THAI ยังไงก็การบินไทยเสมอมา” เพื่อเป็นการขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่อยู่เคียงข้างเรามาโดยตลอด โดยเราพร้อมมอบข้อเสนอสุดพิเศษสำหรับการจองบัตรโดยสารทุกเส้นทางบินของการบินไทย แพ็กเกจทัวร์ และสินค้าที่ระลึก พร้อมประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่เราบรรจงสร้างสรรค์ขึ้น เพื่อเติมเต็มความสุขและความอบอุ่นใจให้กับการเดินทางของทุกท่าน และนำมาให้ทุกท่านได้สัมผัสก่อนใครในงานนี้”


พบกับกิจกรรมและสิทธิพิเศษมากมายภายในงาน “รักคุณเท่าฟ้า 2568” ไม่ว่าจะเป็น

•  บินลัดฟ้าในราคาสุดพิเศษ: บัตรโดยสารราคาพิเศษทุกเส้นทางของการบินไทย ทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ พร้อมรับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมจากบัตรเครดิตและพันธมิตรทางธุรกิจ

•  สะสมไมล์ง่าย ๆ รับโบนัสสุดคุ้ม: สมัครสมาชิก Royal Orchid Plus ภายในงาน รับฟรีโบนัสไมล์สะสม 500 ไมล์ และรับเพิ่มอีก 650 ไมล์ฟรี เมื่อเดินทางในเที่ยวบินระหว่างประเทศ

•  เที่ยวสุดคุ้มกับทัวร์เอื้องหลวง: แพ็กเกจท่องเที่ยวราคาพิเศษจากทัวร์เอื้องหลวง (Royal Orchid Holidays) พร้อมสัมผัสประสบการณ์สุดประทับใจ

•  เปิดประสบการณ์สุดล้ำกับ VR 3D: สัมผัสประสบการณ์เสมือนจริงบนห้องโดยสารของเครื่องบินรุ่นใหม่ด้วยเทคโนโลยี VR 3D สุดล้ำ

•  ลิ้มลองรสชาติใหม่แห่งการเดินทาง: ชิมและเลือกซื้อเบเกอรี่แสนอร่อยจาก Puff & Pie

•  ช็อปของที่ระลึกสุดพิเศษ: เลือกซื้อของที่ระลึกราคาพิเศษจาก THAI Shop ที่นำมาให้เลือกสรรอย่างจุใจ

•  ร่วมสนุกกับกิจกรรม: เมื่อมียอดค่าใช้จ่ายสะสมครบ 65,000 บาท รับสิทธิ์ร่วมสนุกหมุนตู้กาชาปอง  รับของรางวัลสุดพิเศษมากมาย อาทิ บัตรโดยสารเครื่องบินชั้นธุรกิจ เส้นทาง กรุงเทพฯ-ออสโล สำหรับ 2 ท่าน และรางวัลบัตรโดยสารอีกมากมาย แพ็กเกจทัวร์ และของสมนาคุณอื่น ๆ รวมมูลค่ากว่า 3 ล้านบาท!

•  สนุกกับกิจกรรมบันเทิง: เพลิดเพลินกับกิจกรรมบันเทิงบนเวที 

•  ชมภาพยนตร์ประชาสัมพันธ์ชุดใหม่ “Fly for The New High ToGether”: สัมผัสเรื่องราว  การเดินทางที่ทุกคนมีส่วนร่วมและเติบโตไปด้วยกัน ด้วยประสบการณ์เหนือระดับที่การบินไทยตั้งใจมอบให้แก่ผู้โดยสาร สะท้อนผ่านรอยยิ้มแห่งความสุข เพื่อยกระดับคุณภาพการบริการและมาตรฐานการบิน ซึ่งเป็นกลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยให้การบินไทยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระดับโลก


ขอเชิญร่วมงาน “รักคุณเท่าฟ้า 2568” ระหว่างวันที่ 24 – 27 เมษายน 2568 เวลา 10:00 – 19:00 น. ณ ลานแฟชั่นฮอลล์ ชั้น 1 ศูนย์การค้าสยามพารากอน มาร่วมเฉลิมฉลอง 65 ปี พร้อมสัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษและร่วมเดินทางไปกับการบินไทย


###

เกี่ยวกับการบินไทย


การบินไทยเป็นสายการบินที่ให้บริการเต็มรูปแบบ (Full Service Carrier) ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2503 และมีฐานปฏิบัติการหลักที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ สมุทรปราการ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 การบินไทยมีจำนวนเครื่องบินที่ใช้ปฏิบัติการบินรวม 79 ลำ ประกอบด้วย เครื่องบินลำตัวกว้างจำนวน 59 ลำ และเครื่องบินลำตัวแคบจำนวน 20 ลำ และมีเครือข่ายเส้นทางบินที่ให้บริการครอบคลุมกว่า 63 จุดบิน ใน 34 ประเทศทั่วโลก เชื่อมต่อประเทศไทยกับภูมิภาคสำคัญ ๆ ทั่วโลก ได้แก่ เอเชีย ยุโรป ออสเตรเลีย และภายในประเทศ


การบินไทยได้รับรางวัลสายการบินยอดเยี่ยมอันดับ 3 และอีก 3 รางวัล จาก DestinAsian Readers’ Choice Awards 2025 อีกทั้งได้รับการจัดอันดับเป็น 1 ใน 10 สายการบินที่ให้บริการระหว่างประเทศที่ดีที่สุดในโลก จาก Travel & Leisure ประจำปี 2024


การบินไทยเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้ง 1 ใน 5 รายของกลุ่มพันธมิตรการบินสตาร์ อัลไลแอนซ์ ซึ่งเป็นกลุ่มพันธมิตรการบินชั้นนำระหว่างประเทศ เพื่อการขยายเครือข่ายเส้นทางบินผ่านความตกลงเที่ยวบินร่วม (code sharing) การสะสมไมล์เดินทางร่วม และการให้บริการพิเศษเพิ่มขึ้นแก่ลูกค้าทั่วโลก


###







กรมพัฒน์ จับมือ CHANGAN ยกระดับแรงงานยานยนต์ไฟฟ้า หนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยสู่อนาคต มุ่งเป้าฝึก 2,000 คน ปี 68

 กรมพัฒน์ จับมือ CHANGAN ยกระดับแรงงานยานยนต์ไฟฟ้า หนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยสู่อนาคต มุ่งเป้าฝึก 2,000 คน ปี 68



วันที่ 24 เมษายน 2568  กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กับ บริษัท ฉางอาน ออโต้ เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำนวัตกรรมยานยนต์พลังงานทางเลือกใหม่ภายใต้ CHANGAN Automobile กับ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการพัฒนาฝีมือแรงงานสู่อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ ระหว่างนางจิรวรรณ สุตสุนทร รองอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และ นายอู๋ เสี่ยวคัง รองประธานบริหารฝ่ายบุคคล บริษัท ฉางอาน ออโต้ เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด โดยมีนางสาวเกา หยิง รองประธานบริหารฝ่ายปฏิบัติการบริการ บริษัท ฉางอาน ออโต้ เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด และนายเจษฎา จันทร์อุไร ผู้ตรวจราชการกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ร่วมลงนามเป็นสักขีพยานพร้อมมอบวุฒิบัตรแก่ผู้ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรการซ่อมบำรุงรถยนต์ไฟฟ้าตามมาตรฐานศูนย์บริการยานยนต์ จำนวน 16 คน ณ ศูนย์สนับสนุนทางเทคนิคหลังการขาย CHANGAN ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถนนกิ่งแก้ว ตำบลราชาเทวะ อำเภอบางพลี สมุทรปราการ


นางจิรวรรณ สุตสุนทร  รองอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กล่าวหลังจากลงนามว่า  อุตสาหกรรมยานยนต์เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงจากกระแสเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า (EV) และระบบขับเคลื่อนอัจฉริยะ ซึ่งต้องอาศัยบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญและทักษะที่สอดคล้องกับความต้องการของอุตสาหกรรมในยุคปัจจุบันและอนาคต จึงทำให้ตลาดแรงงานมีความต้องการช่างซ่อมบำรุงรถยนต์ไฟฟ้าเป็นจำนวนมาก ซึ่งการลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ CHANGAN และกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ได้ร่วมมือกัน ผ่านสถาบันพัฒนาบุคลากรในอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนอะไหล่ (AHRDA) โดยพัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมด้านงานซ่อมบำรุงและบริการรถยนต์ไฟฟ้า และจัดฝึกอบรมให้แก่บุคลากรฝึกของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เมื่อวันที่ 21 - 24 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา เพื่อนำความรู้ไปขยายผลการฝึกอบรมให้แก่กำลังแรงงานในพื้นที่ 41 จังหวัด เป้าหมาย จำนวน 2,000 คนทั่วประเทศ 


ดิฉันขอขอบคุณบริษัท ฉางอาน ออโต้ เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ รวมถึงองค์ความรู้ใหม่ ๆ เพื่อช่วยพัฒนาแรงงานซ่อมบำรุงรถยนต์ไฟฟ้าให้มีทักษะ ความสามารถมากยิ่งขึ้นต่อไป 




ด้านของ นายเซิน ซิงหัว กรรมการผู้จัดการบริษัท ฉางอาน ออโต้ เซาท์อีส เอเชีย จำกัด และ กรรมการผู้จัดการบริษัท ฉางอาน ออโต้ เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า นับตั้งแต่เข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทย CHANGAN มุ่งมั่นที่จะสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยตลอดมา การผนึกกำลังกับกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงานในครั้งนี้ นอกจากจะช่วยยกระดับศักยภาพของคนไทยในสายอาชีพที่เกี่ยวข้องกับงานซ่อมบำรุงและงานบริการรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อให้สอดรับกับการเติบโตของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยังตอกย้ำความตั้งใจในการเสริมสร้างทักษะที่จำเป็นให้แก่พี่น้องชาวไทยเพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้พร้อมสำหรับการแข่งขันของตลาดแรงงานในอนาคต ทั้งยังสะท้อนถึงบทบาทสำคัญระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติของรัฐบาลเพื่อผลักดันประเทศไทยสู่เวทีระดับโลกอย่างเต็มภาคภูมิ โดยเราจะยังคงมุ่งนำเสนอสุดยอดนวัตกรรมและเทคโนโลยีล้ำสมัยเพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ในตลาดยานยนต์ไทยควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน





ในโอกาสเดียวกันนี้ บริษัท ฉางอาน ออโต้ เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด และ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน ได้มอบวุฒิบัตรแก่ผู้ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรการซ่อมบำรุงรถยนต์ไฟฟ้าตามมาตรฐานศูนย์บริการยานยนต์ จำนวน 16 คน และตั้งเป้าร่วมกับกรมพัฒนาแรงงาน ในการพัฒนาทักษะแรงงานจำนวน 2,000 คนทั่วประเทศ ภายในปี 2568 ตอกย้ำเป้าหมายการขยายผลการฝึกอบรมเพื่อส่งต่อองค์ความรู้ให้แก่แรงงานชาวไทยต่อไป


29 พันธมิตร รัฐ-เอกชน-การศึกษา หนุนใช้ประโยชน์ขยะอาหาร​ ชูเว็บไซต์ “ฟู้ดเวสต์ฮับ” เสิร์ฟไอเดียธุรกิจใหม่จากงานวิจัยคนไทย

 29 พันธมิตร รัฐ-เอกชน-การศึกษา หนุนใช้ประโยชน์ขยะอาหาร​ ชูเว็บไซต์ “ฟู้ดเวสต์ฮับ” เสิร์ฟไอเดียธุรกิจใหม่จากงานวิจัยคนไทย

 



กรุงเทพฯ – 24 เมษายน 2568 – สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมกับกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยการสนับสนุนของกลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย (Dow) เดินหน้าขยายความร่วมมือการจัดการขยะอาหารด้วยแฟลตฟอร์มออนไลน์บนเว็บไซต์ FoodWasteHub.com ผนึกเครือข่ายพันธมิตรภาครัฐ ภาคเอกชนและสถาบันการศึกษารวม 29 หน่วยงาน เผยแพร่ความรู้และแนวทางการจัดการด้านขยะอาหาร โดยงานวิจัยฝีมือคนไทยและกรณีศึกษาเพื่อการนำขยะอาหารกลับมาใช้ประโยชน์เพื่อสนับสนุนหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียนและนโยบาย BCG อย่างเป็นระบบ สอดคล้องกับแผนการจัดการขยะอาหารของประเทศไทย (พ.ศ. 2566-2573) และแผนปฏิบัติด้านการจัดการขยะอาหาร ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2566-2570) ด้วยแนวทางการจัดการที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง หวังลดปริมาณขยะที่ต้องนำไปกำจัด ลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการกำจัดขยะ และเพิ่มอัตราการรีไซเคิลของประเทศ

 




แพลตฟอร์มการเผยแพร่นวัตกรรมการจัดการขยะอาหาร หรือ Food Waste Platform เปิดตัวครั้งแรกในปี พ.ศ. 2567 ภายใต้ชื่อเว็บไซต์ www.FoodWasteHub.com เพื่อเป็นศูนย์กลางให้ความรู้และแนวทางการจัดการขยะอาหารอย่างยั่งยืนโดยมีข้อมูลทั้งภาษาไทยและอังกฤษ มีผู้เข้าชมแล้วกว่า 24,000 ครั้ง จากทั้งคนไทยและต่างชาติจากกว่า 10 ประเทศ







ในปีนี้ได้เพิ่มผลงานวิจัยและข้อมูลที่สำคัญ เช่น สถานการณ์ขยะอาหารในระดับโลก ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประเทศไทย ทั้งในด้านระเบียบ กฎหมาย และกรณีศึกษาที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในประเทศ รวมทั้งข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับปริมาณและองค์ประกอบขยะอาหารจากแหล่งกำเนิดในประเทศไทยเพื่อสนับสนุนการกำหนดนโยบายและมาตรการที่เหมาะสม รวมไปถึงแนวทางการจัดการขยะอาหารสำหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่นำไปปรับใช้ได้จริง ยิ่งไปกว่านั้นยังเพิ่มเติมข้อมูลงานวิจัยที่ได้รับรางวัลเพื่อให้ผู้สนใจนำไปใช้ประโยชน์ได้

 

งานประกาศความร่วมมือเครือข่ายแพลตฟอร์มเผยแพร่นวัตกรรมการจัดการขยะอาหาร ณ ห้องประชุมศักดิ์สิทธิ์ ตรีเดช อาคารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้รับเกียรติจาก นายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมผู้บริหารหน่วยงานพันธมิตรรวม 29 องค์กร ร่วมประกาศเจตนารมณ์การขับเคลื่อนการแก้ปัญหาขยะอาหารของประเทศ พร้อมจัดแสดงผลงานวิจัยที่ได้รับการเผยแพร่บนเว็บไซต์ต่อสื่อมวลชน

 

นอกเหนือจากการพัฒนาเว็บไซต์แล้ว เครือข่ายนี้ ยังมีเป้าหมายในการส่งเสริมความร่วมมือเชิงนโยบาย โดยสนับสนุนให้เกิดการบูรณาการแนวทางการจัดการขยะอาหารเข้าสู่แผนพัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียนของประเทศ รวมถึงกระตุ้นให้ภาคธุรกิจและภาคประชาชนร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการลดขยะอาหารผ่านโครงการที่สามารถปฏิบัติได้จริง

 



นายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  กล่าวว่า “ปัญหาขยะอาหารไม่ใช่แค่เรื่องของของเสีย แต่เป็นเรื่องของทรัพยากรที่สูญเปล่า ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทย ความร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการเชื่อมโยงองค์ความรู้ งานวิจัย และแนวทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม เพื่อให้ทุกภาคส่วนสามารถนำไปใช้ได้จริง นี่คือหนึ่งในแนวทางสำคัญที่สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน ลดของเสีย และสร้างสังคมที่ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ผมเชื่อว่า Food Waste Platform จะเป็นศูนย์กลางที่ช่วยให้ประเทศไทยก้าวสู่อนาคตที่ขยะอาหารไม่ใช่ภาระ แต่เป็นโอกาสในการสร้างความยั่งยืนร่วมกัน”

 


ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า “งานวิจัยเป็นกุญแจสำคัญในการแก้ปัญหาขยะอาหารอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน วช. มุ่งสนับสนุนการพัฒนาความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมที่สามารถนำไปใช้ได้จริง ทั้งในเชิงนโยบายและการปฏิบัติ เราเชื่อว่าการจัดการขยะอาหารต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน และแพลตฟอร์มนี้เป็นตัวอย่างของการบูรณาการข้อมูล งานวิจัย และแนวปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม เพื่อให้สาธารณชนสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการลดขยะอาหาร และเพิ่มมูลค่าให้กับทรัพยากรอาหารของประเทศ นี่คือบทบาทของงานวิจัยที่ไม่ใช่เพียงการสร้างองค์ความรู้ แต่ต้องนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรมและยั่งยืน”

 


นางสาวปรีญาพร สุวรรณเกษ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กล่าวว่า "ปัญหาขยะอาหารเป็นความท้าทายสำคัญที่ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของประชาชน กรมควบคุมมลพิษจึงมุ่งเน้นการผลักดันแนวทางการจัดการขยะอาหารอย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่การป้องกันและลดปริมาณขยะจากต้นทาง การนำกลับมาใช้ประโยชน์ ไปจนถึงการกำจัดอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ ความรู้และข้อมูลที่ถูกต้องเป็นรากฐานสำคัญของการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน เราจึงให้ความสำคัญกับการพัฒนางานวิจัย ฐานข้อมูล และแนวทางปฏิบัติที่สามารถนำไปใช้ได้จริง เพื่อให้ทุกภาคส่วนสามารถนำไปปรับใช้และช่วยกันลดปริมาณขยะอาหารของประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรม"

 


ดร.สนิท อักษรแก้ว ที่ปรึกษาในสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานคณะกรรมการดำเนินงานสนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรม ประเด็นเป้าหมายด้านการพัฒนาสุขภาพ สังคม และสิ่งแวดล้อม ของสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า "การจัดการขยะอาหารอย่างมีประสิทธิภาพเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียนและแนวทาง BCG ที่มุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า สร้างมูลค่าเพิ่ม และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แพลตฟอร์มนี้เป็นแหล่งข้อมูลสำคัญที่ช่วยให้ภาคธุรกิจสามารถนำข้อมูลและงานวิจัยไปต่อยอดสู่โอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ ๆ เช่น การแปรรูปขยะอาหารเป็นพลังงานทางเลือก หรือผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง ตลอดจนสนับสนุนการกำหนดนโยบายที่ขับเคลื่อนประเทศไปสู่เศรษฐกิจที่เติบโตอย่างยั่งยืน ลดความสูญเปล่า และสร้างความมั่นคงด้านอาหารในระยะยาว”

 


นายเอกสิทธิ์ ลัคนานิธิพันธุ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายธุรกิจร่วมทุน กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย กล่าวว่า "Dow มีเป้าหมายด้านความยั่งยืนในการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ เปลี่ยนขยะเป็นผลิตภัณฑ์ และส่งเสริมวงจรรีไซเคิล เราจึงสนับสนุนการพัฒนาเว็บไซต์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลและนวัตกรรมการจัดการขยะอาหารซึ่งจะช่วยลดก๊าซเรือนกระจกสาเหตุของโลกร้อน และยังเกิดประโยชน์ทางอ้อมต่อการรีไซเคิลด้วย เพราะเมื่อขยะอาหารถูกแยกนำไปใช้ประโยชน์ การปนเปื้อนของอาหารกับวัสดุรีไซเคิลก็จะลดน้อยลง ช่วยให้การรีไซเคิลเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งเรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่มีหน่วยงานพันธมิตรเข้าร่วมมากขึ้น และหวังว่าเว็บไซต์นี้จะเป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมและประชาชนในวงกว้างต่อไป”



 

ปัจจุบัน เครือข่ายแพลตฟอร์มเผยแพร่นวัตกรรมการจัดการขยะอาหาร ประกอบด้วย 1) สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ 2) กรมควบคุมมลพิษ 3) กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย (Dow) 4) บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด  5) บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) 6) บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) 7) การไฟฟ้านครหลวง 8) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ 9) ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ 10) บริษัท บุณยาพาณิชย์ จำกัด 11) สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย 12) มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง 13) มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี 14) มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงใหม่ 15) มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ 16) คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี 17) คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 18) คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล 19) คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 20) คณะเกษตรศาสตร์และทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยพะเยา 21) คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 22) คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 23) คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์  24) คณะเกษตร กำแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 25) สถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 26) สำนักวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์  27) สำนักวิชาแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง 28) สำนักวิจัยและบริการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สวท.) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และ 29) สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ

 

###

NT แจ้งยกเลิกบริการ NT Mobile พร้อมเตรียมโอนย้ายผู้ใช้บริการสู่โครงข่าย my by NT โดยอัตโนมัติ

  NT แจ้งยกเลิกบริการ NT Mobile  พร้อมเตรียมโอนย้ายผู้ใช้บริการสู่โครงข่าย my by NT โดยอัตโนมัติ   บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หร...