วันพุธที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2568

กระทรวง อว. โดย สวทช. - กรมควบคุมโรค กระทรวง สธ.​ ผนึกกำลังใช้ระบบ DDC-Care Platform เทคโนโลยีรับมือโรคระบาดข้ามพรมแดน บริการแก่กลุ่มผู้แสวงบุญชาวไทยที่เดินทางเข้าร่วมพิธีฮัจญ์

 กระทรวง อว. โดย สวทช. - กรมควบคุมโรค กระทรวง สธ.​ ผนึกกำลังใช้ระบบ DDC-Care Platform เทคโนโลยีรับมือโรคระบาดข้ามพรมแดน บริการแก่กลุ่มผู้แสวงบุญชาวไทยที่เดินทางเข้าร่วมพิธีฮัจญ์

(30 เมษายน 2568) ที่ห้องแถลงข่าวชั้น 1 กระทรวง อว. อาคารพระจอมเกล้า: นายศุภชัย ใจสมุทร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานแถลงข่าว ความสำเร็จ DDC-Care เฝ้าระวังโรคเมอร์ส (MERS-CoV) ในผู้แสวงบุญที่เดินทางเข้าร่วมพิธีฮัจญ์ จากความร่วมมือของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เพื่อดำเนินมาตรการเฝ้าระวังโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง หรือโรคเมอร์ส MERS-CoV อย่างเข้มงวด ด้วย DDC-Care Platform เทคโนโลยีรับมือโรคระบาดข้ามพรมแดน ซึ่งถือเป็นการทำงานเชิงรุกและการเฝ้าระวังโรคตามมาตรการสาธารณสุข สำหรับผู้แสวงบุญชาวไทยที่เดินทางเข้าร่วมพิธีฮัจญ์ โดยมี ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. นายแพทย์ดิเรก ขำแป้น รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข นายประสิทธิ์ มะหะหมัด เลขานุการจุฬาราชมนตรี ทีมนักวิจัยและเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมแถลงข่าว 

นายศุภชัย ใจสมุทร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า เพื่อเป็นการเพิ่มศักยภาพในการดูแลประชาชนและรับมือกับโรคระบาดในประเทศไทย ให้เกิดความปลอดภัยและเฝ้าระวังสุขภาพของผู้แสวงบุญชาวไทยทุกท่าน ทางกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวง อว. โดย สวทช. ทั้ง 2 หน่วยงาน จึงจัดเตรียมพร้อมนำระบบ DDC-Care Platform ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่จะรับมือโรคระบาดข้ามพรมแดน เฝ้าระวังโรคเมอร์ส (MERS-CoV) ในผู้แสวงบุญ ที่เดินทางเข้าร่วมพิธีฮัจญ์ โดยระบบนี้ประสบความสำเร็จมาแล้วจากการใช้คัดกรองโรคโควิด-19 ตั้งแต่ช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทย ทั้งนี้ระบบดังกล่าวถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่พัฒนาโดยนักวิจัยไทยและช่วยสร้างความเข้มแข็งในวงการสาธารณสุขไทยอย่างแท้จริง ซึ่งในการแถลงข่าววันนี้มีทีมวิจัย สวทช. ประกอบด้วย ดร.อนันต์ลดา โชติมงคล ดร.นัยนา สหเวชชภัณฑ์ และ ดร.ชาลี วรกุลพิพัฒน์ ทีมนักวิจัย สวทช. ได้แนะนำ DDC-Care Platform ระบบเฝ้าระวังโรคติดต่อ และ INTERVAC ระบบวัคซีนพาสปอร์ต นอกจากนี้ยังมีการสาธิตการใช้งาน DDC-Care Platform เช่น การประยุกต์ใช้ดิจิทัลแพลตฟอร์มในการเฝ้าระวังและควบคุมโรค โดยผู้แทนจากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นการสะท้อนภาพการทำงานของทั้งสองกระทรวงอย่างเข้มแข็ง

การแถลงข่าวในวันนี้ ผมขอย้ำว่า ไม่ได้ต้องการให้เกิดความกังวลในหมู่พี่น้องชาวไทยมุสลิมของเราว่า การเดินทางไปแสวงบุญ จะมีการแพร่ระบาดหรือติดเชื้อของโรคดังกล่าวในกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง เพียงแต่เป็นมาตรการป้องกันของรัฐบาล ซึ่งเป็นการต่อยอดจากแนวคิด "Hajj 5G 5Good" ได้แก่ Good Price (ราคาดี มีคุณภาพ), Good Service (บริการดี), Good Care (เอาใจใส่ดี), Good Health (สุขภาพดี) และ Good Relations (ความสัมพันธ์ดีระหว่างประเทศ)

โดยเฉพาะในข้อที่ 4 คือ Good Health หรือ สุขภาพดี นอกจากทีมแพทย์ที่เป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงมหาดไทยกับกระทรวงสาธารณสุข ที่เราส่งไปดูแลสุขภาพผู้แสวงบุญ ณ ประเทศซาอุดิอาระเบียแล้ว เรายังติดตามดูแลสุขภาพของท่านหลังจากเดินทางกลับมายังประเทศไทยอีกด้วย จึงขอความร่วมมือทุกท่านให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุข และขอขอบคุณทุกหน่วยงานภาครัฐที่ช่วยกันยกระดับความสามารถในการรับมือกับการระบาดของโรคและสร้างความปลอดภัยให้กับพี่น้องมุสลิมและประชาชนชาวไทยทุกคน” นายศุภชัย กล่าว

ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ระบบ DDC-Care  พัฒนาโดย สวทช. ร่วมกับ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ภายใต้การสนับสนุนทรัพยากรระบบ Cloud จากสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นระบบติดตาม ผู้มีความเสี่ยงต่อโรคติดเชื้อโควิด-19 ตั้งแต่ประเทศไทยเริ่มมีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เพื่อสนับสนุนเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในการประเมินสถานการณ์ ติดตาม เฝ้าระวังและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ เพื่อรักษาผู้ป่วยได้อย่างทันท่วงที 



จุดเด่นของแพลตฟอร์ม DDC-Care มีบทบาทสำคัญในระบบสาธารณสุข โดยสามารถประยุกต์ใช้ป้องกันและเฝ้าระวังโรคอุบัติซ้ำ หรือ โรคติดต่ออันตราย ซึ่งกรมควบคุมโรค นำระบบ DDC-Care ไปใช้เฝ้าระวังความเสี่ยงโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง หรือ โรคเมอร์ส ในกลุ่มพี่น้องคนไทยเชื้อสายมุสลิมที่เดินทางไปประกอบพิธีทางศาสนาในตะวันออกกลาง ตั้งแต่ปี 2566 จนถึงปัจจุบัน” 

นอกจาก DDC-Care แล้ว สวทช. ยังได้พัฒนาต่อยอดระบบวัคซีนพาสปอร์ต INTERVAC มาสู่ INTERVAC HAJJ สำหรับการออกใบรับรองการฉีดวัคซีนทั้งสิ้น 4 ชนิด ได้แก่ วัคซีนป้องกันโรค COVID-19 โรคไข้กาฬหลังแอ่น โรคไข้หวัดใหญ่ และไข้เหลือง ให้กับผู้เดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ โดยเริ่มใช้งานมาตั้งแต่ปี 2565 โดยระบบ INTERVAC พัฒนาขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับเจ้าหน้าที่ ที่ทำการบันทึกข้อมูลการฉีดวัคซีนและประชาชนที่เข้ารับบริการ ซึ่งเดิมการออกเอกสารรับรองการฉีดวัคซีน จะจัดทำในรูปแบบ “สมุดเล่มเหลือง” ที่เขียนด้วยลายมือ ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลาการทำงานมากขึ้น และไม่สามารถรองรับปริมาณและความต้องการของประชาชนได้ เมื่อมีการนำระบบ INTERVAC มาใช้ หลังจากที่เจ้าหน้าที่บันทึกข้อมูลแล้วจะสามารถพิมพ์สมุดเล่มเหลืองได้ทันที พร้อมทั้งใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์ในรูปแบบ QR Code 

ด้าน นายแพทย์ดิเรก ขำแป้น รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การทำงานของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข จะมีเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ลงพื้นที่เยี่ยมผู้ที่เดินทางกลับมาจากการประกอบพิธีฮัจญ์ และแนะนำให้ใช้แอปพลิเคชัน DDC-Care ในการรายงานสุขภาพอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 14 วัน ทั้งนี้เพื่อเป็นการเฝ้าระวังผู้ที่อาจจะเสี่ยงเป็นผู้ป่วยโรคเมอร์สภายหลังจากเดินทางกลับจากการประกอบพิธีทางศาสนาในตะวันออกกลาง และเพื่อให้ความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที ลดการแพร่กระจายของโรคทั้งในครอบครัวและชุมชน 

ทั้งนี้ที่ผ่านมา กรมควบคุมโรคได้นำระบบ DDC-Care มาใช้เฝ้าระวังความเสี่ยงโรคเมอร์ส ใน 7 จังหวัดภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดตรัง สงขลา พัทลุง สตูล ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส เพื่อบริการแก่กลุ่มผู้แสวงบุญที่เดินทางเข้าร่วมพิธีฮัจญ์ ดังนั้นระบบ DDC-Care จึงถือเป็นตัวอย่างหนึ่งของความสำเร็จจากความร่วมมือของหลายภาคส่วนในการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเฝ้าระวังและรับมือกับสถานการณ์โรคอุบัติใหม่ อุบัติซ้ำ หรือโรคติดต่อร้ายแรง ซึ่งเป็นตัวช่วยให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขติดตามและควบคุมการแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว”  

////////////////////////


”พิชัย“ คิกออฟ “เปิดเทอม เติมพลัง” ลดราคาสินค้า-บริการการศึกษา 8,000 รายการ ช่วยผู้ปกครองประหยัด กว่า 300 ล้านบาท กระตุ้นเศรษฐกิจ ร่วม 900 ล้านบาท รับเปิดเทอม

 ”พิชัย“ คิกออฟ “เปิดเทอม เติมพลัง” ลดราคาสินค้า-บริการการศึกษา 8,000 รายการ ช่วยผู้ปกครองประหยัด กว่า 300 ล้านบาท กระตุ้นเศรษฐกิจ ร่วม 900 ล้านบาท รับเปิดเทอม



พิชัย” นำพาณิชย์ คิกออฟ “เปิดเทอม เติมพลัง” จับมือผู้ผลิต ผู้จำหน่าย ห้างค้าส่งค้าปลีก แพลตฟอร์มออนไลน์ กว่า 50 ราย ลดราคาสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาจำนวนกว่า 8,000 รายการ ลดสูงสุด 74% เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพให้กับผู้ปกครอง นักเรียน นิสิต นักศึกษา รับเปิดภาคเรียน





วันที่ 30 เมษายน 2568นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานเปิดตัวโครงการ “เปิดเทอม เติมพลัง” มาตรการสำคัญของรัฐบาลเพื่อบรรเทาค่าครองชีพผู้ปกครองในช่วงเปิดภาคเรียน โดยระดมความร่วมมือจากผู้ผลิต ผู้จำหน่าย ห้างค้าส่งค้าปลีก และแพลตฟอร์มออนไลน์กว่า 50 ราย พร้อมใจกันลดราคาสินค้าและบริการด้านการศึกษาจำนวนกว่า 8,000 รายการ ลดสูงสุดถึง 74% ครอบคลุมสาขากว่า 24,924 แห่งทั่วประเทศ ตลอดระยะเวลา 32 วัน ตั้งแต่ 30 เมษายน ถึง 31 พฤษภาคม 2568




นายพิชัย เปิดเผยว่า โครงการนี้เป็นหนึ่งในมาตรการเร่งด่วนของรัฐบาลภายใต้การนำของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งให้ความสำคัญกับการยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนในทุกมิติ ภายใต้นโยบาย “ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส” โดยมุ่งเน้นช่วยเหลือกลุ่มผู้ปกครอง นักเรียน นิสิต และนักศึกษาในช่วงเปิดเทอมที่ต้องรับภาระค่าใช้จ่ายจำนวนมาก


โดยในปีนี้ กระทรวงพาณิชย์ได้จับมือพันธมิตรเอกชนกว่า 50 รายทั่วประเทศ มอบส่วนลดสูงสุดถึง 74% ให้กับสินค้าจำเป็นในช่วงเปิดเทอม ทั้งชุดนักเรียน รองเท้านักเรียน เครื่องเขียน ตำราเรียน สื่อการเรียนการสอน บริการกวดวิชา อินเทอร์เน็ต สถาบันดนตรี ผลิตภัณฑ์นม รวมถึงสินค้าอุปโภคบริโภคอีกหลากหลายรายการ เพื่อช่วยให้ผู้ปกครองประหยัดเงินในกระเป๋าได้มากขึ้น


ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์คาดว่า โครงการนี้จะช่วยลดค่าครองชีพให้ประชาชนได้ไม่น้อยกว่า 300 ล้านบาท และก่อให้เกิดการหมุนเวียนเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจไทยกว่า 900 ล้านบาท สร้างแรงกระตุ้นสำคัญให้กับภาคค้าปลีกและบริการช่วงเปิดภาคเรียนปีนี้


นายพิชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงพาณิชย์ทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อดูแลปากท้องประชาชน ทั้งด้านราคาสินค้าและนโยบายการค้าระหว่างประเทศ โดยที่ผ่านมา กระทรวงสามารถควบคุมเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับต่ำ แม้ภาวะต้นทุนผู้ประกอบการจะเพิ่มขึ้น โดยปีที่แล้วอัตราเงินเฟ้อของไทยอยู่ที่เพียง 0.4% ต่ำกว่าที่คาดการณ์ ซึ่งเป็นผลจากการบริหารจัดการราคาสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ

เราทำหลายเรื่องพร้อมกัน ทั้งการเจรจา FTA กับ EU การดูแลนโยบายภาษีทรัมป์ การควบคุมราคาสินค้า เพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดี ในช่วงเปิดเทอมนี้ เราอยากให้ผู้ปกครองทุกคนได้มีโอกาสซื้อของที่จำเป็นในราคาที่ถูกลง ไม่ว่าจะเป็นชุดนักเรียน หนังสือเรียน หรือสินค้าในชีวิตประจำวัน โดยสามารถเลือกซื้อได้ทั้งที่ห้างร้านทั่วประเทศกว่า 24,924 สาขา และผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ที่เข้าร่วมโครงการ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าว


ขอเชิญชวนคุณพ่อคุณแม่ ผู้ปกครอง และน้องๆ นักเรียน นักศึกษา มาร่วมใช้โอกาสนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เลือกซื้อสินค้าที่จำเป็น รับส่วนลดสูงสุดถึง 74% ก่อนเปิดเทอมนี้ เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในครอบครัว และช่วยกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไปพร้อมกัน

สำหรับการดำเนินมาตรการลดค่าครองชีพในช่วงที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ได้จัดทำโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจร่วมกับภาคเอกชนมาอย่างต่อเนื่อง เช่น การลดค่าเช่าร้านค้า ค่าเช่าแผงตลาด ค่าขนส่งไปรษณีย์ การสนับสนุนพื้นที่จำหน่ายสินค้า โครงการ “ชูใจ วัยเก๋า” รวมถึงการจับมือห้างค้าปลีก จัดโปรโมชั่นลดราคาสินค้าหมวดจำเป็น ซึ่งช่วยสร้างเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจรวมกว่า 30,000 ล้านบาท เพื่อเป็นการสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลที่ได้ดำเนินโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 10,000 บาทในเฟสแรกและเฟสสอง

สทนช. ติดตามสถานการณ์น้ำท่วมพื้นที่แม่สายอย่างใกล้ชิด

 สทนช. ติดตามสถานการณ์น้ำท่วมพื้นที่แม่สายอย่างใกล้ชิด

สทนช. เผยฝนตกหนักสะสมในประเทศเมียนมา ส่งผลให้น้ำท่วมบริเวณริมลำน้ำแม่สาย ในพื้นที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างพนังกั้นน้ำเพื่อรับมือฤดูฝนปีนี้ ย้ำให้ทุกหน่วยงานเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลันในพื้นที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เมื่อช่วงเที่ยงของวานนี้ (29 เมษายน 2568) สาเหตุเกิดจากระดับน้ำในแม่น้ำสายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากปริมาณฝนสะสม 69.8 มิลลิเมตร (มม.) ภายใน 24 ชั่วโมง ที่บ้านโจตาดา สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ก่อนฝนหยุดตกในช่วงบ่าย ส่งผลให้น้ำไหลหลากเข้าท่วมพื้นที่ลุ่มต่ำบริเวณตลาดสายลมจอยชายแดนฝั่งไทย สำหรับบริเวณสถานีสะพานมิตรภาพแม่น้ำสายแห่งที่ 1 มีระดับน้ำสูงสุด เมื่อเวลา 12.20 น. ระดับน้ำ 396.74 เมตร เหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง (ม.รทก.) ต่ำกว่าตลิ่ง 0.85 ม. (ระดับตลิ่ง 397.59 ม.รทก.) ปัจจุบันระดับน้ำลดลงจนเข้าสู่สภาวะปกติแล้ว ทั้งนี้ สทนช. คาดการณ์ปริมาณฝนตกในวันที่ 30 เมษายน และ 1 พฤษภาคม 2568 คาดว่า จะมีปริมาณฝนตกเฉลี่ยวันละ 27 และ 17 มม. รวมฝนสะสม 44 มม. สำหรับเหตุการณ์ดังกล่าว เนื่องจากบริเวณริมลำน้ำแม่น้ำสายอยู่ระหว่างการก่อสร้างพนังกั้นน้ำ เพื่อเตรียมป้องกันน้ำหลากในช่วงฤดูฝนที่จะถึงนี้ โดยเจ้าหน้าที่ได้นำถุง Bigbag ออกเพื่อดำเนินการก่อสร้างฯ แต่เกิดเหตุฝนตกหนักที่ต้นลำน้ำแม่น้ำสาย ทำให้น้ำไหลหลากทะลักเข้าท่วมร้านค้า-ชุมชนบริเวณริมน้ำตามจุดที่นำถุง Bigbag ออก ทั้งนี้ กรมการทหารช่างได้เร่งนำ Bigbag ชุดใหม่ เข้ามาวางตามจุดที่น้ำทะลักเข้ามาแล้ว โดยก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่ได้ชี้แจงกับประชาชนในพื้นที่ ถึงแผนการก่อสร้างแนวป้องกันน้ำชั่วคราว-กึ่งถาวร ริมแม่น้ำสายฝั่งไทย ระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร เริ่มต้นบริเวณเส้นเขตแดนทางน้ำระหว่างไทย-เมียนมา ด้านชุมชนบ้านหัวฝาย ตำบลเวียงพางคำ ตรงกันข้ามชุมชนปงถุนของเมียนมา ไปจนถึงบริเวณสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา ข้ามแม่น้ำสายแห่งที่ 2 เริ่มดำเนินการก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน 2568 และมีกำหนดแล้วเสร็จวันที่ 

15 มิถุนายน 2568 


เลขาธิการ สทนช. เปิดเผยเพิ่มเติมว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี 

(นางสาวแพทองธาร ชินวัตร) ที่ให้หน่วยงานต่างๆ เร่งดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ให้แล้วเสร็จทันฤดูฝนปี 2568 นี้ ในการนี้ คณะทำงานเร่งรัดจัดทำแผนการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและดินโคลน ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดเชียงราย จึงได้มีแผนการดำเนินการแก้ไขปัญหาในเชิงโครงสร้างพื้นฐาน แบ่งเป็น ระยะเร่งด่วน ระยะกลาง และระยะยาว สำหรับแผนในระยะเร่งด่วน ได้แก่ การเพิ่มประสิทธิภาพการไหลของน้ำในแม่น้ำ ประกอบด้วย 

ขุดลอกแม่น้ำ รื้อถอนสิ่งกีดขวางทางน้ำ และสร้างพนังกั้นน้ำชั่วคราว/กึ่งถาวร รวมระยะทางแม่น้ำสาย 14.15 กิโลเมตร และแม่น้ำรวก 31.19 กิโลเมตร ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบการดำเนินการตามข้อตกลงระหว่างไทย - เมียนมา โดยฝ่ายไทยจะดำเนินการ

ขุดลอกช่วงแม่น้ำรวก และฝ่ายเมียนมาดำเนินการขุดลอกช่วงแม่น้ำสาย ในส่วนของประเทศไทยมีกองทัพบกเป็นผู้รับผิดชอบหลัก ได้รับจัดสรรงบประมาณดำเนินการแล้ว จำนวน 74,816,000 บาท และได้เริ่มดำเนินการขุดลอกแม่น้ำรวก ตั้งแต่วันที่ 18 เม.ย.68 คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในวันที่ 20 มิ.ย. 68 โดย สทนช. จะติดตามแผนการแก้ไขปัญหาและเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งประสานงานระหว่างหน่วยงานทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือหากสถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลง

สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ / 30 เมษายน 2568


เลขา“อารี”ก.แรงงานส่งมอบอาชีพถึงมือแรงงานลพบุรี ‘อบรมฟรี–พร้อมเครื่องมือ’ เริ่มต้นสร้างรายได้ทันที”

 เลขา“อารี”ก.แรงงานส่งมอบอาชีพถึงมือแรงงานลพบุรี ‘อบรมฟรี–พร้อมเครื่องมือ’ เริ่มต้นสร้างรายได้ทันที”

วันที่ 30 เมษายน 2568 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้นายอารี ไกรนรา เลขานุการรัฐมนตรีฯ ลงพื้นที่เป็นประธานในโครงการ “MOL ลพบุรี สร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้” ณ ห้องประชุมเทศบาลเมืองเขาสามยอด จ.ลพบุรี




กิจกรรมนี้จัดโดย สำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานลพบุรี ภายใต้ “โครงการเพิ่มทักษะแรงงานอิสระและกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ” โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อฝึกอาชีพให้แรงงานไทย พร้อมมอบ “เครื่องมือทำมาหากิน” ชุดใหญ่ให้แก่ผู้ผ่านการอบรมทุกคน เพื่อนำไปต่อยอดสร้างรายได้จริง ทั้งอาชีพหลักและอาชีพเสริม


นายอารี ไกรนรา กล่าวว่า กระทรวงแรงงานไม่เพียงแค่มอบทักษะ แต่ยังมอบต้นทุนในการเริ่มต้นอาชีพอย่างแท้จริง ด้วยการสนับสนุนเครื่องมือพื้นฐานที่เหมาะสมกับแต่ละสาขา เช่น การติดตั้งโซลาร์เซลล์ ตัดผมชาย แปรรูปสินค้าเกษตร ซ่อมแอร์ ตัดเย็บเสื้อผ้า ฯลฯ โดยเน้นให้ตรงกับความต้องการของชุมชนและตลาดแรงงาน

นี่เลขา“อารี”ก.แรงงานส่งมอบอาชีพถึงมือแรงงานลพบุรี ‘อบรมฟรี–พร้อมเครื่องมือ’ เริ่มต้นสร้างรายได้ทันที”ตั้งตัวจริง ๆ” นายอารี กล่าว พร้อมเปิดเผยว่าในปี 2568 กระทรวงแรงงานตั้งเป้าฝึกทักษะแรงงานอิสระให้ได้ 15,500 คนทั่วประเทศ ขณะนี้มีผู้ผ่านการอบรมพร้อมรับเครื่องมือทำมาหากินแล้วกว่า 8,200 คน และคาดว่าจะเกินเป้าหมายอย่างแน่นอน


ด้านนายภัทรวุธ เภอแสละ รองอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กล่าวว่า ใน จ.ลพบุรี ตั้งเป้าอบรม 300 คน โดยในวันนี้มีผู้ได้รับเครื่องมือแล้ว 154 คน จาก 5 หลักสูตรที่สามารถต่อยอดเป็นอาชีพได้ทันที พร้อมช่วยเติมเต็มตลาดแรงงานในชุมชนที่ยังขาดแคลน


นอกจากนี้ภายในงานยังมีกิจกรรมมอบเครื่องหมายมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติให้กับ บ.ช้างบิน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด มอบใบอนุญาตศูนย์ทดสอบให้แก่วิทยาลัยการอาชีพชัยบาดาล วิทยาลัยเทคนิคท่าหลวง มอบเงินช่วยเหลือและอุดหนุนจากกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงานให้วิทยาลัยเทคนิคลพบุรีและวิทยาลัยเทคโนโลยีชัยบาดาล และสาธิตการฝึกอาชีพ เป็นต้น 


โครงการนี้เป็นอีกหนึ่งแนวทางของกระทรวงแรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ในการเปลี่ยนการคุ้มครอง เป็นการสร้างอาชีพที่มั่นคง พร้อมส่งแรงงานไทยก้าวสู่การมีรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาว

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง บรรเทาทุกข์ผู้ประสบอัคคีภัยในพื้นที่อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา และ เขตธนบุรี กรุงเทพฯ มอบเงินช่วยเหลือพร้อมเครื่องอุปโภคบริโภค รวมมูลค่ากว่า 3 แสนบาท

 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง บรรเทาทุกข์ผู้ประสบอัคคีภัยในพื้นที่อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา และ เขตธนบุรี กรุงเทพฯ มอบเงินช่วยเหลือพร้อมเครื่องอุปโภคบริโภค รวมมูลค่ากว่า 3 แสนบาท




วันนี้ (วันพุธที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2568) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายจารุรัตน์ คุณัตถานนท์ กรรมการและเหรัญญิก พร้อมด้วย นายรัชพร ประสงค์ทรัพย์ หัวหน้าแผนกสาธารณภัย นำทีม แผนกสาธารณภัย ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ ลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอัคคีภัยในพื้นที่อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา รวมจำนวน 41 คน โดยมอบเงินสดคนละ 3,500 บาท พร้อมมอบเครื่องอุปโภคบริโภค จำนวน 17 ชุด  รวมมูลค่าการช่วยเหลือทั้งสิ้น 186,000 บาท (หนึ่งแสนแปดหมื่นหกพันบาทถ้วน) โดยมี นายพงษ์ศักดิ์ ธีระกิตติวัฒนา หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดฉะเชิงเทรา ผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนต่างๆ ร่วมในพิธี  พร้อมด้วย มูลนิธิสว่างแผ่ไพศาลธรรมสถาน เป็นผู้ประสานงานและร่วมในพิธี ณ บริเวณตลาดเก่าพนมสารคาม อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา




โดยวานนี้ (วันอังคารที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2568) นายอรัณย์ โตทวด ผู้จัดการใหญ่มูลนิธิฯ พร้อมด้วย นายรัชพร ประสงค์ทรัพย์ หัวหน้าแผนกสาธารณภัย นำทีมแผนกสาธารณภัย ลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุอัคคีภัยบริเวณชุมชนใกล้สำนักงานเขตธนบุรี แขวงบางยี่เรือ เขตธนบุรี กรุงเทพฯ รวมจำนวน 42 คน โดยมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง มอบเงินสดคนละ 3,500 บาท พร้อมมอบเครื่องอุปโภคบริโภครายครอบครัว จำนวน 14 ชุด  และรายบุคคล จำนวน 3 ชุด ในการนี้ มูลนิธิไกรสิทธิการกุศล ร่วมมอบเงินสด คนละ 400 บาท และ พุทธสมาคมปทุมรังษี ร่วมมอบข้าวสาร คนละ 10 กิโลกรัม รวมมูลค่าการช่วยเหลือทั้ง 3 องค์กรทั้งสิ้น  211,700 บาท (สองแสนหนึ่งหมื่นหนึ่งพันเจ็ดร้อยบาทถ้วน)


รวมมูลค่าการดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบอัคคีภัยทั้งในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา และ เขตธนบุรี กรุงเทพฯ เป็นเงินทั้งสิ้น 397,700 บาท (สามแสนเก้าหมื่นเจ็ดพันเจ็ดร้อยบาทถ้วน)


ตลอดระยะเวลากว่า 115 ปี มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ศาสนา  เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลาย ๆ ทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ดังปณิธาน มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”


ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

.

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”

#แอปพลิเคชัน และ #สายด่วนป่อเต็กตึ๊ง1418 

#ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน

ซินโครตรอน อว. ร่วมประชุมฟิสิกส์ระดับชาติ SPC2025 โชว์ศักยภาพสร้างเครื่องกำเนิดแสงซินโครตรอนใหม่ 3 GeV

  ซินโครตรอน อว. ร่วมประชุมฟิสิกส์ระดับชาติ SPC2025 โชว์ศักยภาพสร้างเครื่องกำเนิดแสงซินโครตรอนใหม่ 3 GeV  สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การม...