กรมการค้าต่างประเทศแจ้งข่าวดี FTA ไทย - ญี่ปุ่น ส่งออกใช้ e – CO เต็มรูปแบบ มิถุนายนนี้
กรมการค้าต่างประเทศพร้อมให้บริการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าแบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e – CO ภายใต้ FTA ไทย - ญี่ปุ่น เต็มรูปแบบ ผ่านระบบ SMART CO ตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป เพื่ออำนวยความสะดวกผู้ส่งออกไทย ลดขั้นตอน ลดต้นทุน สร้างแต้มต่อให้สินค้าไทยในตลาดญี่ปุ่น
นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน 2568 ผู้ส่งออกไทยสามารถใช้ e – CO เป็นหลักฐานการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าเพื่อใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้ความตกลงระหว่างราชอาณาจักรไทยและญี่ปุ่นสำหรับความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ (Japan – Thailand Economic Partnership Agreement: JTEPA) สำหรับการส่งออกสินค้าจากไทยไปญี่ปุ่นได้อย่างสมบูรณ์ โดยเมื่อผู้ประกอบการกรอกข้อมูลในการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าในระบบ SMART CO ของกรมการค้าต่างประเทศ และผ่านการอนุมัติจากกรมการค้าต่างประเทศแล้ว ข้อมูลดังกล่าวจะส่งผ่านระบบไปยังญี่ปุ่นทันที โดยไม่จำเป็นต้องยื่นหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (CO) ในรูปแบบกระดาษอีกต่อไป ซึ่งที่ผ่านมา กรมการค้าต่างประเทศและศุลกากรญี่ปุ่นได้ดำเนินการทดลองการส่งข้อมูล e – CO ระหว่างกันตั้งแต่เดือนมีนาคม 2568 จนถึงตอนนี้ได้ปรับปรุงและพัฒนาระบบได้อย่างเสถียรตามเป้าหมายแล้ว พร้อมที่จะใช้งาน e – CO นี้ได้อย่างเต็มรูปแบบตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป
นางอารดาฯ กล่าวว่า กรมการค้าต่างประเทศเล็งเห็นแล้วว่าไทยมีมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้ความตกลงดังกล่าวที่อยู่ในระดับสูงจึงได้ผลักดันการเจรจาจัดทำ e – CO ภายใต้ความตกลง JTEPA ตั้งแต่ปี 2564 ซึ่งที่ผ่านมา กรมฯ ได้ดำเนินการเจรจาแก้ไขระเบียบปฏิบัติเพื่อรองรับ e - CO รวมถึงได้พัฒนาระบบการแลกเปลี่ยน e – CO กับญี่ปุ่น จนบรรลุตามเป้าหมายที่ต้องการบังคับใช้ e – CO ให้ได้ภายในเดือนมิถุนายน 2568 ทั้งนี้ ความตกลง JTEPA กำหนดหลักฐานการรับรองถิ่นกำเนิดไว้ 2 รูปแบบ ได้แก่ CO รูปแบบกระดาษ และ e – CO ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยที่ยังไม่พร้อมจะใช้รูปแบบ e – CO ยังคงสามารถขอ CO ในรูปแบบกระดาษจากกรมการค้าต่างประเทศได้เช่นเดิม
นางอารดาฯ เพิ่มเติมว่า สำหรับความตกลง JTEPA ที่ได้บังคับใช้มากกว่า 18 ปี ถือเป็น FTA ที่มีการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าสูงติด 5 อันดับแรกของไทยมาโดยตลอด โดยในเดือนมกราคม - มีนาคม 2568 มีมูลค่าการขอใช้สิทธิฯ 1,572.48 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 49,206.04 ล้านบาท และแม้ว่าจะมีมูลค่าการใช้สิทธิฯ ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 2.6 % แต่รั้งอันดับ 4 ของ FTA ที่มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ สูงสุด รองมาจาก ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ATIGA) ความตกลงเขตการค้าอาเซียน – จีน (ACFTA) และความตกลงการค้าเสรีอาเซียน – อินเดีย (AIFTA) โดยมีรายการสินค้าสำคัญที่มีการใช้สิทธิฯ สูงสุด 5 อันดับ ได้แก่ 1) ไก่ชนิดแกลลัสโดเมสติกัสที่ปรุงแต่งหรือที่ทำไว้ไม่ให้เสีย 2) ชิ้นเนื้อและส่วนอื่นที่บริโภคได้ของสัตว์ปีกเลี้ยง แช่เย็นจนแข็ง 3) เดกซ์ทริน และโมดิไฟด์สตาร์ชอื่น ๆ 4) ลวดและเคเบิลทำด้วยทองแดง 5) ผลิตภัณฑ์พลาสติก โพลิอะซีทัล โพลิอีเทอร์อื่น ๆ ที่มีค่าความหนืด 78 มิลลิลิตร ต่อกรัม หรือสูงกว่า
นอกจากการพัฒนาระบบ e – CO ภายใต้ความตกลง JTEPA ในปี 2568 กรมการค้าต่างประเทศยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อยกระดับ FTAs อีกหลายฉบับ เช่น ATIGA AIFTA ความตกลงเพื่อการจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียน - ออสเตรเลีย – นิวซีแลนด์ และเจรจาเพื่อจัดทำ FTAs กับประเทศคู่ค้าใหม่ ๆ (อาเซียน-แคนาดา และไทย-สหภาพยุโรป (EU)) โดยมุ่งเน้นกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้าที่สอดคล้องกับกระบวนการผลิตของไทยและแนวปฏิบัติที่อำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการใช้สิทธิประโยชน์ ทั้งนี้ กรมการค้าต่างประเทศ พร้อมให้ข้อมูลและคำปรึกษาแก่ผู้ประกอบการ โดยสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกรมการค้าต่างประเทศ โทร. 1385
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น