สภาการศึกษา เผยรายงานสภาวะการศึกษาไทย ไตรมาสที่ 4 ดึง 5 คานงัด ติดเครื่องยนต์การศึกษา พลิกโฉมสู่ปี 2573
วันที่ 26 พฤศจิกายน 2568 รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการสภาการศึกษา เป็นประธานการประชุมสัมมนาเพื่อเผยแพร่ รายงานสภาวะการศึกษาไทย ไตรมาสที่ 4 ปี พ.ศ. 2568 โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิ ได้แก่ นายอธิป อัศวานันท์ สภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย นายวิศรุต ศรีวรมย์ โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยนครพนม พนมพิทยพัฒน์ ผศ.ดร.ฮารีซอล ขุนอินคีรี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ผศ.ธิดาวัลย์ อุ่นกอง มหาวิทยาลัยพะเยา พร้อมด้วย นางอำภา พรหมวาทย์ ที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนการศึกษา นายวีระพงษ์ อู๋เจริญ ผู้อำนวยการสำนักประเมินผลการจัดการศึกษา นักวิชาการ ผู้บริหารสถานศึกษา ครู อาจารย์และบุคลากรทางการศึกษา ร่วมประชุม ณ โรงแรมแมนดาริน กรุงเทพฯ และถ่ายทอดสดผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ เพจ Facebook สภาการศึกษา
รศ.ดร.ประวิต กล่าวเปิดงานและรายงานสภาวะการศึกษาไทย ไตรมาสที่ 4 ปี พ.ศ. 2568 ซึ่งสรุปบทเรียนตลอดปีและเชื่อมโยงไปสู่การออกแบบอนาคตการศึกษาไทยช่วงเปลี่ยนผ่านสู่ “ปี 2573” โดยนำเสนอแนวคิดพัฒนาการศึกษาในมุมมองใหม่บนมาตรฐานระดับสากล ภายใต้กลไกในการวิเคราะห์ 4 ขั้นตอน ผ่าน 5 คานงัด (Leverage) ได้แก่ การประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อการศึกษา (AI for Education) การทดสอบและประเมินผลทางการศึกษา (Education Test & Evaluation) การพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา (Teacher Development) การจัดการศึกษาสำหรับผู้มีความสามารถพิเศษ (Talented Education) และการบริหารจัดการทางการเงินเพื่อการศึกษา (Financial Management) เพื่อระบุจุดอ่อน จุดแข็ง และสิ่งที่ต้องเร่งปรับก่อนการเปลี่ยนผ่านสู่อนาคต ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 National Readiness checklist การประเมินระดับความพร้อมของระบบการศึกษาไทยในมิติต่าง ๆ โดยใช้ 7 มิติในการประเมินของ World Bank ได้แก่ 1) โครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล (Infrastructure and Connectivity) 2) ข้อมูลและการเชื่อมโยงระบข้อมูล (Data and Interoperability) 3) การพัฒนาศักยภาพบุคลากร (Human Capacity Building) 4) หลักสูตรและการประเมินผล (Curriculum and Assessment) 5) การจัดวางองค์กรและกลไกธรรมาภิบาล (Institutional Setup and Governance) 6) นโยบายและกฎระเบียบ (Policy and Regulation) และ7) การติดตามและประเมินผล(Monitor and Evaluation) โดยมีผลการประเมินตาม 5 คานงัด (Leverage) สำคัญที่จะขับเคลื่อนการศึกษาในอีก 5 ปีข้างหน้า ได้แก่ ด้านการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อการศึกษา ได้ 38.46% คือระดับ 2 : Emerging (เริ่มต้น) และอีก 4 ด้านได้ระดับ 3 : Established (มีระบบ) ได้แก่ ด้านการทดสอบและประเมินผลทางการศึกษา ได้ 74.36% ด้านการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา ได้ 69.23% ด้านการจัดการศึกษาสำหรับผู้มีความสามารถพิเศษ ได้ 69.23% และด้านการบริหารจัดการทางการเงินเพื่อการศึกษา ได้ 66.67% ซึ่งในภาพรวมสะท้อนถึง โครงสร้างพื้นฐานทั่วไปมีความพร้อมระดับหนึ่ง แต่ยังขาดโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล ต้องการใช้ระบบ AI เข้ามาช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูล เน้นหลักสูตรที่เน้นสมรรถนะให้มากขึ้น บูรณาการและขับเคลื่อนภารกิจนโยบายให้ทรงพลัง และต้องมีการติดตามเชื่อมโยงผ่านกรอบประเมินผลที่ครอบคลุมทุกระดับ
ขั้นตอนที่ 2 System transition and Policy Adaption การวิเคราะห์การเปลี่ยนผ่านของระบบและปรับนโยบายให้รองรับเทคโนโลยี สังคม และทักษะแบบใหม่อย่างต่อเนื่องนั้นการยกระดับผลลัพธ์การเรียนรู้ของผู้เรียนต้องสร้างการเปลี่ยนผ่านเชิงระบบและการปรับใช้นโยบาย โดยมีประเด็นที่น่าสนใจ ได้แก่ การวางกรอบนโยบายและกฎหมายขับเคลื่อนการใช้ AI ในสถานศึกษา การใช้การประเมินแบบปรับตัว (Adaptive Assessment) การพัฒนาครูให้เป็นผู้นำการเรียนรู้แห่งอนาคตและเด็กที่มีศักยภาพสูงในมิติที่หลากหลาย และการมีระบบงบประมาณที่ยืดหยุ่น
ขั้นตอนที่ 3 Global Foresight Synthesis เป็นการสังเคราะห์แนวโน้มโลกจากข้อมูลและงานวิจัยสากล เพื่อมองภาพอนาคตการศึกษาและทิศทางที่ประเทศไทยต้องเตรียมรับ ซึ่งมีกรอบแนวคิดการศึกษาที่ต้องให้ความสำคัญเกี่ยวกับ กำลังคนแห่งอนาคต ภูมิทัศน์ทักษะโลก หลักสูตรโลกในยุค AI และ Global Education Trend ที่เน้นด้าน Competency, Agency, AI Literacy และ Well-being
ขั้นตอนที่ 4 Transformation Reimagine Agenda ประเด็นการพัฒนาการศึกษาในช่วงเปลี่ยนผ่าน การคิดใหม่ ออกแบบใหม่ โดยต้องพัฒนาการศึกษาที่ยกระดับผลลัพธ์การเรียนรู้ด้วยการใช้ AI เป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนการเรียนรูปแบบใหม่ คุณครูพัฒนาเป็น Talent Mentor การมีระบบการประเมินต้องเป็นกลไกพัฒนาเด็ก ระบบค้นหา-บ่มเพาะ-เร่งศักยภาพที่จะเป็นกุญแจสร้างกำลังคนด้าน AI, Deep Tech, Bio Tech, Space Tech ให้ประเทศในอนาคต รวมถึงต้องพัฒนาผลลัพธ์ตามสมรรถนะและศักยภาพแต่ละคน
จากนั้นที่ประชุมร่วมเสวนา เรื่อง Comparative Education for Policy Transformation: บทเรียนโลกเพื่อการยกระดับการศึกษาไทย ซึ่งมีประเทศน่าสนใจ ดังนี้ ประเทศสหรัฐอเมริกา มีจุดเด่นการเรียนชั้น ม.ปลาย ที่จะไม่แยกแผนการเรียน แต่เป็นการเรียน Core Curriculum และเลือกวิชาที่น่าสนใจเพิ่มเติม ระดับมหาวิทยาลัยมีหลักสูตรที่ยืดหลักให้นักศึกษามีโอกาสได้ทดลองเรียนได้หลากหลายก่อนตัดสินใจเลือกเส้นทาง และมีทุนการศึกษามากมายโดยเฉพาะระดับปริญญาเอก ประเทศมาเลเซีย มีการปฏิรูประบบครูและการสอนผ่าน ESD (Education for Sustainable Development) เน้นระบบการศึกษาแบบหลายภาษา มีการฝึกอบรมครูอย่างเป็นระบบ และมีความร่วมมือกับนานาชาติที่เข้มแข็ง ประเทศญี่ปุ่น มีจุดเด่นที่เน้นการสร้างคุณภาพที่เท่าเทียม และการหล่อหลอมคุณลักษณะพลเมืองผ่านหลักสูตร และฟินแลนด์กับเอสโตเนีย ได้มีโครงการความร่วมมือทางวิชาการระหว่างคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนครพนม กับศูนย์สะเต็มศึกษาแห่งชาติ LUMA Centre มหาวิทยาลัยเฮลซึงกิ เพื่อส่งเสริมการแก้ปัญหาที่อาศัยธรรมชาติเป็นฐาน โดยสร้างต้นแบบหลักสูตรที่บูรณาการแนวคิด STEM–NbS สำหรับการพัฒนาที่ยั่งยืนในระดับภูมิภาคลุ่มน้ำโขงตอนล่าง โดยเฉพาะด้านการพัฒนาสีเขียว ซึ่งเป็นความร่วมมือด้านการศึกษา วิจัย และนวัตกรรม ที่จะช่วยยกระดับคุณภาพการศึกษาด้านสะเต็มศึกษาให้ก้าวทันแนวโน้มการเรียนรู้ระดับสากล
ทั้งนี้ สกศ. จะรวบรวมและเผยแพร่ข้อมูลสภาวะการศึกษาไทยรายไตรมาส เพื่อเป็นข้อมูลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถปรับปรุงและพัฒนานโยบายได้อย่างรวดเร็ว พร้อมตอบสนองต่อความท้าทายต่าง ๆ ในระบบการศึกษา ยกระดับสมรรถนะทางการศึกษาของประเทศ และวางรากฐานในการพัฒนาการศึกษาของประเทศไทยให้มีความยั่งยืนในอนาคต








ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น