วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

สวทช. โชว์ต้นแบบฟาร์ม “ไข่ผำพรีเมียม” ด้วยเทคโนโลยี IoTพร้อมองค์ความรู้โรงงานผลิตพืชอัจฉริยะ ตอบโจทย์อุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต

 สวทช. โชว์ต้นแบบฟาร์ม “ไข่ผำพรีเมียม” ด้วยเทคโนโลยี IoTพร้อมองค์ความรู้โรงงานผลิตพืชอัจฉริยะ ตอบโจทย์อุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต




(วันที่ 29 พฤษภาคม 2568) ณ Pro-t Farm อ.พานทอง จังหวัดชลบุรี: กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) และศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) จัดกิจกรรม "NSTDA x Press Interviews: ต้นแบบการเลี้ยงไข่ผำ ด้วยเทคโนโลยี IoT พร้อมองค์ความรู้โรงงานผลิตพืชอัจฉริยะ" ผนึกกำลังสมาพันธ์การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไทย นำคณะสื่อมวลชน ชมต้นแบบการเพาะเลี้ยง “ไข่ผำ” พืชน้ำโปรตีนสูง สู่การผลิต “ผำพรีเมียม” ด้วยเทคโนโลยีเกษตรแม่นยำ ระบบการจัดการฟาร์มแบบครบวงจร ซึ่งเป็นความร่วมมืองานวิจัยเพื่อขยายผลสู่ชุมชนพร้อมถ่ายทอดองค์ความรู้สู่เกษตรกรอย่างเป็นรูปธรรม 

ไข่ผำเป็นพืชน้ำพื้นบ้านที่พบได้ทั่วไปในประเทศไทย มีปริมาณโปรตีนและคุณค่าทางอาหารสูง อย่างไรก็ตามการผลิตไข่ผำแบบดั้งเดิมยังประสบปัญหาความไม่สม่ำเสมอของผลผลิต การปนเปื้อน และขาดมาตรฐาน ทำให้ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดที่กำลังเติบโต โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคตและอาหารเฉพาะบุคคล Functional Food โดยความร่วมมืองานวิจัยเพื่อขยายผลสู่ชุมชนนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างมาตรฐานการผลิตผำที่แตกต่างจากผำทั่วไปในท้องตลาด นำไปสู่การแบ่งเกรดและเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์เทคโนโลยี สวทช. หัวใจสำคัญในการยกระดับการผลิต ‘ผำพรีเมียมปลอดภัย’ โตไวได้โปรตีนสูงภายใน 7 วัน

ดร.เกรียงไกร โมสาลียานนท์ หัวหน้าทีมวิจัยนวัตกรรมโรงงานผลิตพืชสมุนไพร ไบโอเทค สวทช. กล่าวว่า ไบโอเทค สวทช. ได้นำองค์ความรู้เชิงลึกทางด้านสรีรวิทยาของพืชและความต้องการปัจจัยแวดล้อมที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต มาสนับสนุนการดำเนินงานร่วมกับเนคเทค สวทช. อย่างใกล้ชิด โดยได้กำหนดขอบเขตของปัจจัยที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืชอย่างละเอียด ครอบคลุมทั้งด้านแสงสว่าง อุณหภูมิ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และสูตรปุ๋ยธาตุอาหารที่แม่นยำ

ด้าน เนคเทค สวทช. เป็นหน่วยงานหลักในการพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยี IoT และระบบเกษตรแม่นยำ ฟาร์มอัจฉริยะ HandySense มาใช้ในกระบวนการผลิตให้ได้ปริมาณ คุณภาพ และมีความปลอดภัย ตลอดจนนวัตกรรมหลังการเก็บเกี่ยวเพื่อรักษาคุณภาพของไข่ผำ ดร.ศุภนิจ พรธีระภัทร นักวิจัยอาวุโส ทีมวิจัยเทคโนโลยีเกษตรดิจิทัล เนคเทค สวทช. กล่าวว่า เนคเทค สวทช. ผสานองค์ความรู้ด้านความต้องการของพืชจากไบโอเทค สวทช. มาผนวกกับข้อมูลการตรวจวัดจาก HandySense ระบบเกษตรแม่นยำ ฟาร์มอัจฉริยะ 

เพื่อให้ได้มาซึ่งสูตรการผลิตเฉพาะ (Growth Recipe) ที่เหมาะสมสำหรับการเพาะเลี้ยงไข่ผำในแต่ละรอบการผลิต โดยสามารถประมาณปริมาณผลผลิต ปริมาณโปรตีน และสามารถปรับปรุงกระบวนการผลิตได้ตามเป้าหมาย จากการติดตามการตรวจวัดสภาพอากาศและสภาพน้ำในบ่อเพาะเลี้ยงตลอด 1 ปี ที่ผ่านมา ทำให้สามารถจัดการกระบวนการเพาะเลี้ยงให้เหมาะสมกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนไปตลอดช่วงปี โดยสามารถจะเก็บเกี่ยวไข่ผำได้ในทุก ๆ 7 วัน โดยได้ปริมาณและโปรตีนอยู่ในช่วงประมาณ 40% ต่อ 100 กรัมไข่ผำแห้ง

นายนริชพันธ์ เป็นผลดี หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีเกษตรดิจิทัล เนคเทค สวทช.  ให้ข้อมูลว่า HandySense ที่ติดตั้ง ณ Pro-T Farm ประกอบด้วยชุดเซนเซอร์ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการตรวจวัดสภาพน้ำและสภาวะอากาศที่เหมาะสมแบบเรียลไทม์ โดยวัดค่าออกซิเจนละลายในน้ำ (DO) ค่าอุณหภูมิอากาศ ค่าความชื้น   ค่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ค่าความเข้มข้นของปุ๋ย (EC) ค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) ที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 5 – 6.5 ค่าอุณหภูมิน้ำที่เหมาะสมอยู่ที่ 25-30 องศาเซลเซียส และค่าความเข้มแสง 200 ไมโครโมลต่อวินาทีต่อตารางเซนติเมตร โดยได้มีการกำหนดค่าต่าง ๆ  พร้อมระบบควบคุมที่สอดคล้องตามสูตรการผลิตเฉพาะ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการตรวจสอบและควบคุมอย่างใกล้ชิด เพื่อให้กระบวนการสังเคราะห์แสงของพืชดำเนินไปอย่างเต็มประสิทธิภาพ เกษตรกรสามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้อย่างสะดวกผ่านสมาร์ตโฟน ที่ใช้งานและเข้าใจง่าย    ทำให้สามารถรับทราบสถานการณ์และปรับปัจจัยที่เกี่ยวข้องได้ทันท่วงที ตัวอย่างเช่น เมื่อเกษตรกรรับทราบข้อมูลจาก HandySense ว่าปริมาณแสงในระหว่างวันน้อยกว่าค่าที่เหมาะสม อาจพิจารณาใช้แสง LED เปิดเสริมในช่วงเวลากลางคืนได้ หรือหากปริมาณน้ำน้อยไปจนมีอุณหภูมิสูง ให้เพิ่มปริมาณน้ำเข้าไปในบ่อ เพื่อให้ได้อุณหภูมิที่เหมาะสม เป็นต้น  

อีกทั้ง สวทช. โดย ศูนย์เทคโนโลยีไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ทีเมค) ยังได้พัฒนาเครื่องมือในการตรวจวัดปริมาณไนเตรท (Nitrate Meter) ในผลผลิตไข่ผำจากฟาร์มวิจัย เพื่อให้ทราบว่าควรบริโภคผักผลไม้หรือแหล่งอาหารที่มีไนเตรทได้ปริมาณเท่าไรต่อวันจึงเหมาะสมตามมาตรฐาน CODEX ทั้งนี้เพื่อให้องค์ความรู้กับประชาชนในการบริโภคอาหารแบบปลอดภัยต่อสุขภาพ 

ดร.ศุภนิจ กล่าวเสริมว่า เนคเทค สวทช. นอกจากการพัฒนาระบบการตรวจวัดและติดตามแบเรียลไทม์เพื่อควบคุมตัวแปรในกระบวนการผลิตแล้ว ยังได้ร่วมกับนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ จังหวัดฉะเชิงเทรา พัฒนากระบวนการหลังการเก็บเกี่ยว (Post-Harvest) เช่น ระบบการล้างฆ่าเชื้อ เพื่อลดความเสี่ยงจากการปนเปื้อนต่าง ๆ เช่น ยาฆ่าแมลงหรือสารเคมีที่อาจลอยมากับอากาศเข้ามาในโรงเรือน หรือจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรคทางเดินอาหารในมนุษย์ รวมไปถึงกระบวนการเพิ่มความสดให้กับทุกเม็ดไข่ผำหลังการเก็บเกี่ยว โดยนำเทคโนโลยีนาโนบับเบิลและโอโซนมาประยุกต์ใช้ในการกระบวนการทำความสะอาดไข่ผำ ทำให้ได้ไข่ผำปลอดเชื้อ ไม่มีกลิ่นเหม็นเขียว และสามารถยืดอายุการเก็บรักษาไว้ได้นานกว่าทั่วไป ในฟาร์มต้นแบบการผลิตไข่ผำปลอดเชื้อโปรตีนสูงนี้ ยังมีการใช้กระบวนการฟรีซดราย (Freeze Dry) เพื่อทำไข่ผำแห้งที่ไม่สูญเสียค่าโปรตีน มีกลิ่นหอม สีสวย เหมาะกับการนำไปแปรรูปเพิ่มมูลค่าสูง และยังเก็บรักษาได้นานเป็นปี เทคนิคดังกล่าวเป็นนวัตกรรมที่เนคเทคพัฒนาขึ้น และมีความพร้อมในการถ่ายทอดเทคโนโลยี

ปัจจุบันการวิจัยภายใต้ความร่วมมือนี้กำลังเก็บข้อมูลเพื่อสร้างเป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ซึ่งจะนำไปพัฒนาแบบจำลองปัญญาประดิษฐ์ (AI Model) ต่อไป โดย AI จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการวิเคราะห์ชุดข้อมูลที่ซับซ้อน ช่วยปรับปรุงสูตรการผลิตให้มีความแม่นยำยิ่งขึ้นไปอีก รวมทั้งพยากรณ์ปริมาณและคุณภาพผลผลิต AI ที่จะได้จากต้นแบบนี้ ยังสามารถพัฒนาไปสู่ระบบการจัดการฟาร์มแบบอัตโนมัติในอนาคตสำหรับพืชอื่น ๆ ต่อไปได้อีกด้วย

"หัวใจสำคัญของการเลี้ยงไข่ผำในความร่วมมือนี้ คือ ความปลอดภัยและวิธีการตรวจวัดและควบคุมต่าง ๆ เพื่อให้ได้กระบวนการที่เป็นองค์ความรู้และสร้างความเข้าใจอย่างถูกต้องแก่ประชาชนที่จะผลิตไข่ผำและบริโภคไข่ผำเพื่อเป็นอาหาร ให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าจะได้รับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสามารถในการควบคุมและจัดการสิ่งปนเปื้อนอื่นๆ รวมถึงได้ปริมาณโปรตีนในช่วงที่กำหนด สามารถตรวจสอบได้ และมั่นใจว่ามีความปลอดภัยต่อสุขภาพของผู้บริโภค ตั้งแต่ไข่ผำสดจนกระทั่งนำไปแปรรูปต่าง ๆ ก็ตาม" ดร.ศุภนิจ กล่าวทิ้งท้าย

จากวิกฤตอุตสาหกรรมกุ้ง สู่ทางออกด้วยนวัตกรรมไข่ผำ

นายบรรจง นิสภวาณิชย์ ประธานสมาพันธ์การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไทย กล่าวถึงที่มาและความสำคัญของความร่วมมือฯ นี้ว่า จากอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงกุ้งต้องเผชิญกับความท้าทายหลากหลายมิติ ทางสมาคมฯ จึงได้พิจารณาแสวงหาสร้างรายได้ให้แก่เพื่อนเกษตรกร การเพาะเลี้ยงไข่ผำแบบพรีเมียมด้วยเทคโนโลยีที่ สวทช.พัฒนาขึ้นนี้ นับเป็นทางเลือกที่มีศักยภาพสูง ไม่เพียงช่วยให้เกษตรกรเลี้ยงผำได้ดีขึ้นเท่านั้น แต่มีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับการเลี้ยงและการขายไข่ผำพรีเมียม ซึ่งที่ผ่านมาผำอาจจะขายกันแบบไม่มีราคาที่ชัดเจน แต่พอเรามีเทคโนโลยีที่ควบคุมคุณภาพได้ จะทำให้สามารถแบ่งเกรดผำได้ โดยผำที่เลี้ยงด้วยระบบนี้ มีความสะอาด ปลอดภัย มีสารอาหารที่ควบคุมได้ ซึ่งจะช่วยยกระดับมาตรฐานและราคาเป็นผำพรีเมียมได้ 

นายบรรจง กล่าวด้วยว่า  ทั้งนี้ด้วยเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งส่วนใหญ่มีความคุ้นเคยกับการใช้เทคโนโลยีอยู่แล้วและมีพื้นฐานการจัดการฟาร์มซึ่งถือเป็นข้อได้เปรียบ ทำให้การปรับเปลี่ยนมาสู่การเลี้ยงไข่ผำจึงไม่ใช่เรื่องยาก และสามารถปรับใช้อุปกรณ์และบ่อเพาะเลี้ยงที่มีอยู่เดิมจากฟาร์มกุ้งได้ โดยไม่ต้องลงทุนสร้างใหม่ ซึ่งบ่อเหล่านี้มักมีระบบการจัดการน้ำที่ดีอยู่แล้ว โดยมีแผนที่จะจัดตั้งศูนย์เรียนรู้เพื่อให้เกษตรกรที่สนใจสามารถเข้ามาเรียนรู้และปรับใช้กับทรัพยากรที่ตนเองมี สำหรับ Pro-t ฟาร์ม เป็นฟาร์มต้นแบบ ภายใต้ความร่วมมือวิจัย ปัจจุบัน มีพื้นที่บ่อไข่ผำ 75 บ่อ สามารถผลิตไข่ผำสดได้เต็มศักยภาพน้ำหนักราว 2 ตันต่อเดือน และจำหน่ายในราคากิโลกรัมละ 100 บาท สามารถสร้างรายได้ถึง 200,000 บาทต่อเดือน โดยปัจจุบันกำลังหาช่องทางตลาดขายไข่ผำ หากมีผู้สนใจรับซื้อสามารถติดต่อได้ที่ นายบรรจง (หมายเลขโทรศัพท์ 081 636 6362 )  

มาตรฐาน ความปลอดภัย สู่การผลักดันไข่ผำสู่ตลาด

ดร.ศุภนิจ กล่าวย้ำว่า ปัจจุบันไข่ผำยังไม่มีมาตรฐานเฉพาะสำหรับผลิตภัณฑ์ การสร้างมาตรฐานการผลิตไข่ผำพรีเมียมจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยให้สามารถแบ่งเกรดและกำหนดราคาได้อย่างชัดเจน โดยการผลิตไข่ผำภายใต้ความร่วมมือฯ ดังกล่าว ผ่านมาตรฐาน COA, GMP และ Halal เรียบร้อยแล้ว รวมถึงผ่านการทดสอบการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรีย และจุลินทรีย์ก่อโรค 

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญยังคงอยู่ที่ตลาดแม้จะมีผู้สนใจจากต่างประเทศ แต่ประสบปัญหาการสวมรอยใบรับรองคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน แต่จัดซื้อผำจากแหล่งอื่นที่ราคาถูกกว่าทำให้ผู้ผลิตที่ได้มาตรฐานเสียโอกาสทางการตลาด จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหาผู้ประกอบการภาคเอกชนเข้ามารับช่วงต่อในส่วนของการตลาดและการแปรรูป เพื่อนำผลิตภัณฑ์ที่ได้คุณภาพนี้ไปสู่ผู้บริโภคโดยตรงในห้างสรรพสินค้า หรือตลาดเฉพาะทาง เช่น ตลาดอาหารสำหรับผู้ป่วย ตลาดอาหารสัตว์น้ำวัยอ่อน เป็นต้น 


\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

กสม. เชิญชวนสมัครหรือเสนอชื่อบุคคลและองค์กรที่มีผลงานดีเด่นด้านการส่งเสริม ปกป้อง และคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ประจำปี 2568

  กสม. เชิญชวนสมัครหรือเสนอชื่อบุคคลและองค์กรที่มีผลงานดีเด่นด้านการส่งเสริม ปกป้อง และคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ประจำปี 2568 นายวสันต์  ภัยหลีกล...