วันจันทร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2568

OMODA & JAECOO Show Proud! โชว์ตัวตนให้โลกต้องเหลียวมอง!เฉลิมฉลองไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายในฐานะแบรนด์ที่เข้าใจทุกอัตลักษณ์​ ขับเคลื่อนขบวนพาเหรดแห่งความภาคภูมิใจ Bangkok Pride Festival 2025

 OMODA & JAECOO Show Proud! โชว์ตัวตนให้โลกต้องเหลียวมอง!เฉลิมฉลองไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายในฐานะแบรนด์ที่เข้าใจทุกอัตลักษณ์​ ขับเคลื่อนขบวนพาเหรดแห่งความภาคภูมิใจ Bangkok Pride Festival 2025

OMODA & JAECOO (อ่านว่า โอโมด้า แอนด์ เจคู่) แบรนด์รถที่พร้อมสนับสนุนทุกความหลากหลาย และความเข้าใจในไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ มุ่งมั่นที่จะเป็นแบรนด์ตัวแทนของความหลากหลายและการยอมรับในทุกอัตลักษณ์ ร่วมเฉลิมฉลองเดือนแห่งความภาคภูมิใจอย่างยิ่งใหญ่ในงาน Bangkok Pride Festival 2025 ซึ่งจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 1 มิถุนายน 2568 เวลา 14.00 – 22.00 น. บนถนนพระราม 1 ตั้งแต่สนามกีฬาแห่งชาติถึงแยกราชประสงค์ ใจกลางกรุงเทพมหานคร โดยมีสองตัวแทนคนรุ่นใหม่อย่าง โยชิ รินรดา และ กัน อรรถพันธ์ ร่วมสร้างสีสันและส่งต่อพลังแห่งความภาคภูมิใจไปพร้อมกับแบรนด์อย่างสง่างาม

ภายในงานปีนี้ เต็มอิ่มด้วย 5 ขบวนหลัก 5 สี 5 คอนเซปต์ และขบวนย่อยอีกกว่า 90 ขบวน ภายใต้ธีม “Born This Way” พร้อมปรากฏการณ์ “ธงสีรุ้ง” ยาวที่สุดในประเทศไทย รวมระยะทางกว่า 3 กิโลเมตร และ “ธงอัตลักษณ์” ความยาวกว่า 200 เมตร ที่จะปูทอดยาวตลอดแนวถนนพระราม 1 กลายเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมครั้งประวัติศาสตร์ของไทยและของโลก ในการเฉลิมฉลองอัตลักษณ์และความหลากหลายในพื้นที่สาธารณะอย่างภาคภูมิ

OMODA & JAECOO เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของขบวน Pride ด้วยแนวคิด “Show Proud: โชว์ตัวตนให้โลกต้องเหลียวมอง!” ผ่านขบวนรถไฟฟ้า 4 คันที่ตกแต่ง Wrap พิเศษในธีม Born This Way เป็นรถนำขบวน ซึ่งเคลื่อนตัวอย่างสง่างามในขบวนพาเหรด พร้อมบูธกิจกรรม ณ CentralWorld ที่เปิดโอกาสให้ทุกคนมาร่วมถ่ายรูป แชร์พลัง และแสดงตัวตนอย่างภาคภูมิใจ ท่ามกลางบรรยากาศอันคึกคักที่มีทั้ง นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ร่วมเฉลิมฉลองและเดินเคียงข้างขบวนพาเหรดอย่างเป็นทางการ เพื่อแสดงพลังสนับสนุนความหลากหลายทางเพศอย่างต่อเนื่อง 

OMODA & JAECOO เข้าร่วมขบวน Pride ด้วยคอนเซปต์ “Show Proud”: ผ่านขบวนรถ 4 คัน ได้แก่

“Born to Be Loved – Born to Be Part of One” ถ่ายทอดพลังแห่งความรักที่เชื่อมโยงทุกผู้คนเข้าไว้ด้วยกันอย่างไร้ขอบเขต

“Born to Create & Inspire” สื่อถึงพลังแห่งการสร้างสรรค์ และแรงบันดาลใจที่ขับเคลื่อนสังคม

“Born to Heal Generation” สะท้อนความหวังของเยาวชนรุ่นใหม่ที่มุ่งสู่สุขภาวะและความยั่งยืน

“Culture in Motion” ผสานวัฒนธรรมไทยเข้ากับความทันสมัยอย่างกลมกลืน

รถไฟฟ้าทั้ง 4 คันเคลื่อนตัวอย่างสง่างามในขบวนพาเหรด พร้อมสะท้อนจุดยืนของแบรนด์ที่เคารพในอัตลักษณ์และความหลากหลายอย่างแท้จริง 

คุณสุชาดา ชูสงค์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและภาพลักษณ์องค์กร บริษัท โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “OMODA & JAECOO เชื่อมั่นว่า ‘ความหลากหลาย’ ของผู้คนคือหัวใจสำคัญของสังคมที่ก้าวหน้าและเปี่ยมไปด้วยพลังสร้างสรรค์ เราไม่ได้มองความหลากหลายทางเพศ ไลฟ์สไตล์ หรือความคิดเป็นเพียงความแตกต่าง 

ในฐานะแบรนด์ยานยนต์ที่ถือกำเนิดขึ้นเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภครุ่นใหม่ทั่วโลก เราภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ Bangkok Pride Festival 2025 เพราะเราเชื่อว่าทุกคนควรมีพื้นที่ในการแสดงตัวตนอย่างอิสระ ปลอดภัย และสง่างาม


การสนับสนุนงาน Pride ในครั้งนี้ของ OMODA & JAECOO จึงไม่ใช่เพียงการเข้าร่วมกิจกรรมตามกระแส แต่คือการแสดงออกอย่างชัดเจนถึงจุดยืนของแบรนด์ที่เชื่อมั่นในคุณค่าของ “ความหลากหลาย” ในทุกมิติของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเพศสภาพ ความคิด ไลฟ์สไตล์ หรือวัฒนธรรม


เราจึงพร้อมใช้ทุกเวทีและทุกโอกาสในการขับเคลื่อนบทสนทนา สร้างพื้นที่ที่เปิดกว้าง และส่งต่อแรงบันดาลใจให้ทุกคนกล้าเป็นในแบบของตนเอง

ในโอกาสนี้ เราขอเชิญชวนทุกคนมาร่วมเฉลิมฉลองเดือนแห่งความภาคภูมิใจนี้อย่างเต็มที่ กล้าที่จะเป็นในแบบที่คุณเป็น และแสดงตัวตนของคุณออกมาให้โลกได้เห็น เพราะโลกใบนี้จะสวยงามที่สุด เมื่อทุกคน ‘กล้าเป็นตัวเอง’”

นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมต่อเนื่องตลอดเดือนมิถุนายน เพื่อสานต่อพลังแห่งความภาคภูมิใจ ได้แก่:


1. กิจกรรมโชว์รูมทั่วประเทศทั้งหมด 36 แห่ง ที่มาพร้อม

โปรโมชั่นสุดพิเศษ เมื่อจองและออกรถภายใน 30 มิถุนายน 2568 อาทิ 

o JAECOO 7 SHS (Super Hybrid System) ราคาเริ่มต้น 899,000 บาท ที่มอบส่วนลดกับแคมเปญ Eco Bonus มูลค่า 10,000 บาท สำหรับลูกค้าที่เป็นเจ้าของรถยนต์ประเภทเครื่องยนต์สันดาป (ICE) หรือ ไฮบริด (HEV), ฟรีค่าบำรุงรักษารถ (ค่าแรง และ ค่าอะไหล่) เป็นระยะเวลา 2 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) และข้อเสนออื่นมูลค่ารวมกว่า 100,000 บาท* 

o JAECOO 6 EV LONG RANGE 4WD เฉพาะสี Forest Green และ Lunar Silver รับข้อเสนอพิเศษกับส่วนลดสูงสุด 150,000 บาท และข้อเสนออื่น ๆ อีกมากมาย*

o OMODA C5 EV Long Range Max และ OMODA C5 EV Long Range Dynamic ดาวน์เริ่มต้นเพียง 8,888 บาท ผ่อนนานสูงสุด 84 เดือน*

2. Pride Roadshow – เดินสายขับรถ OMODA C5 EV  และ JAECOO 6 EV ทั่วไทย 

รถ OMODA C5 EV  และ JAECOO 6 EV  แต่งลาย Pride ด้วยคอนเซปต์ “Show Proud” ทั้ง 4 คันเดินสายไปกับขบวน เพื่อทำกิจกรรมตามจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ

เพื่อสร้างการรับรู้และส่งต่อพลังแห่งความภาคภูมิใจในทุกพื้นที่

OMODA & JAECOO เดินหน้าสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ที่ “กล้าแตกต่าง” และยืนหยัดเพื่อ “ความหลากหลายทางไลฟ์สไตล์” อย่างแท้จริง ไม่จำกัดเพศ สถานะครอบครัว รุ่น หรืออายุ พร้อมสนับสนุนให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างมีสีสันและภาคภูมิใจในแบบของตนเอง

ด้วยความเข้าใจในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและไลฟ์สไตล์ที่มีหลากหลายมากขึ้นในทุกเจเนอเรชัน OMODA & JAECOO จึงไม่เพียงเป็นแบรนด์ยานยนต์ แต่ยังเป็นตัวแทนของการใช้ชีวิตที่หลากหลาย แตกต่าง และลงตัว ภายใต้แนวคิดที่เปิดกว้าง เข้าใจ และเคารพในทุกอัตลักษณ์

ทั้งหมดนี้สะท้อนผ่านสโลแกน “Show Proud: โชว์ตัวตนให้โลกต้องเหลียวมอง!” ที่เชิญชวนทุกคนให้กล้าที่จะเป็นตัวเองในแบบที่ดีที่สุด

*ศึกษาเงื่อนไขและรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ WWW.OMODAJAECOO.CO.TH หรือสอบถามรายละเอียดได้ โทร. 02-020-8888 หรือที่ผู้จำหน่ายทั่วประเทศ


สารพัดปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าไทยยังไร้ทางแก้! เสียงจากผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าในวันงดสูบบุหรี่โลก

 สารพัดปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าไทยยังไร้ทางแก้! เสียงจากผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าในวันงดสูบบุหรี่โลก

ควันหลงวันรณรงค์งดสูบบุหรี่โลก 31 พฤษภาคม เครือข่ายผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าตั้งคำถามถึงรัฐบาลไทยรณรงค์เลิกบุหรี่มานานทำไมไม่เห็นผล ลั่นมาตรการแบนบุหรี่ไฟฟ้าไทยไร้ประสิทธิภาพทำผู้ใช้พุ่งกว่า 1000% เน้นปราบปราม ตีปี๊ปสร้างผลงานให้รัฐบาล ชี้ควรใช้กฎหมายควบคุมให้ถูกต้องเพื่อลดปัญหาธุรกิจใต้ดิน ลดการคอรัปชั่น และปกป้องเด็กและเยาวชน

นายสาริษฏ์ สิทธิเสรีชน เจ้าของเพจเฟซบุ๊ก “มนุษย์ควัน” ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 20,000 คน โพสต์ข้อความถึงรัฐบาลไทย เนื่องในโอกาสวันงดสูบบุหรี่โลก ระบุว่าประเทศไทยมีการรณรงค์เลิกบุหรี่มายาวนาน แต่ไม่เห็นสัมฤทธิ์ผล สวนทางกับงบประมาณและทรัพยากรที่ทุ่มเทลงไป “การรณรงค์เลิกบุหรี่ของภาครัฐและเครือข่ายด้านสาธารณสุขในทุกวันนี้ ยังคงเน้นการจัดกิจกรรม จัดอีเว้นท์ จัดแข่งขันประกวดให้รางวัล ซึ่งเป็นแนวทางที่ทำกันมานาน แต่ไม่เคยวัดผลความสำเร็จได้เลย ส่วนผู้ที่สูบบุหรี่ต่างก็ทราบดีถึงโทษจากควันบุหรี่อยู่แล้ว แต่เลือกที่จะยังสูบบุหรี่ต่อไป เราจึงควรหาแนวทางอื่น ๆ มาเสริม เพื่อตอบโจทย์คนเหล่านี้ด้วย

นายสาริษฏ์ ตั้งคำถามว่า “มาตรการแบนบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเด็ดขาดในประเทศไทย เป็นแนวทางที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพที่สุดจริงหรือ เพราะสถิติผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจาก 70,000 คน จนปัจจุบันมีผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้ากว่า  9 แสนคน หรือเพิ่มขึ้นกว่า 1,000% โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนอายุระหว่าง 13-15 ปี ที่มากถึง 3.4 แสนคน เพิ่มขึ้นกว่า 5.3 เท่า เมื่อเทียบกับปี 2558 และยังไม่สามารถแก้ปัญหาหลัก ได้แก่ 1) ปัญหาธุรกิจใต้ดิน ตลาดมืด และห้ามการเข้าถึงของเยาวชนไม่ได้ 2) การแบนไม่ช่วยลดจำนวนผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า 3) บุหรี่ไฟฟ้าถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการสร้างผลงานโดยรัฐบาลไม่ฟังเสียงประชาชน

ตัวแทนผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า กล่าวว่า “มาตรการแบนบุหรี่ไฟฟ้าที่มีมานานกว่า 10 ปีในไทย ถูกสร้างขึ้นมาโดยอ้างว่าเพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชน แต่ในความเป็นจริงกลับเป็นมาตรการที่ไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดตลาดมืดขนาดใหญ่ เราคุมคุณภาพ รูปแบบ และมาตรฐานสินค้าไม่ได้ และควบคุมการเข้าถึงของเด็กและเยาวชนไม่ได้จริง ผลที่ออกมาคือเราเจอบุหรี่ไฟฟ้าหน้าตาแปลก ๆ ออกแบบมาเพื่อดึงดูดเยาวชน ซ้ำยังมีใส่สารเสพติดขายกันเกลื่อนตามตลาดนัดและหน้าร้านออนไลน์ ไม่มีใครคุมได้

นอกจากนี้ เพจมนุษย์ควัน กล่าวถึงนโยบายปราบปรามบุหรี่บุหรี่ไฟฟ้าของรัฐบาลว่า “บุหรี่ไฟฟ้ากลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองที่ช่วยสร้างผลงานให้รัฐบาลนายกรัฐมนตรีแพรทองธารจากพรรคเพื่อไทยที่อยู่มาครึ่งเทอมแต่ไม่สามารถทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันได้ แถมยังสะท้อนว่าไม่รักษาคำพูดที่ให้ไว้กับประชาชนเมื่อตอนหาเสียงเลือกตั้ง ถือเป็นการกลับคำพูดที่ให้ไว้กับประชาชนอีกครั้ง

นายสาริษฏ์ ย้ำว่ากฎหมายควบคุมบุหรี่และการแบนบุหรี่ไฟฟ้าที่มีอยู่ทุกวันนี้เน้นประเด็นเรื่องสุขภาพเป็นหลัก ทำให้ขาดความสมดุลและไม่ตอบโจทย์ผู้บริโภคและสังคมปัจจุบัน เช่นเดียวกับกรณีการสร้างห้องสูบบุหรี่ในสนามบินสุวรรณภูมิที่เสียงของประชาชนต่างก็เห็นด้วย แต่ก็ยังมีเครือข่ายรณรงค์ต่อต้านบุหรี่ออกมาคัดค้าน“รัฐบาลควรมองปัญหาให้รอบด้าน และรับฟังเสียงจากทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็น นักวิชาการด้านสาธารณสุข นักวิชาการด้านเศรษฐกิจและสังคม ผู้สูบบุหรี่ และผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าเองด้วย เพราะทุกฝ่ายต่างมีมุมมอง ประสบการณ์ ความเห็น และบทเรียนจากการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าในต่างประเทศจากหลายมิติที่แตกต่างกัน ซึ่งรัฐบาลสามารถใช้ประโยชน์จากรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญของสภาฯ ที่ศึกษาเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า และได้ผ่านการรับรอง ส่งต่อไปยัง ครม. แล้ว เพราะรายงานฉบับนี้ได้รวบรวมความเห็นของทุกฝ่าย และกรรมาธิการส่วนใหญ่ก็เห็นชอบที่จะนำบุหรี่ไฟฟ้ามาควบคุมด้วยกฎหมายอย่างเคร่งครัด มากกว่าการแบนต่อไป

นายสาริษฏ์ กล่าวปิดท้ายว่า วันงดสูบบุหรี่โลก ไม่ควรเป็นแค่วันที่ผลักดันการลด ละ เลิกบุหรี่ หรือการจัดอีเวนท์ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ แต่ควรเป็นวันที่เราต้องมองหา “ทางออก” ที่ยั่งยืน จากปัญหาของการสูบบุหรี่ให้กับทุกคนในสังคมอย่างแท้จริง

วันอาทิตย์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2568

วช.ชู " 2 ทศวรรษ มหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ”ความสำเร็จจากความร่วมมือของเครือข่ายระบบวิจัยทั่วประเทศพร้อมเดินหน้าจัด“มหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2568 "ยกทัพงานวิจัยกว่า 1000 ผลงาน กว่า 200 หน่วยงานร่วมจัดแสดงภายใต้แนวคิด “Research for All เชื่อมต่ออนาคตไทย ด้วยวิจัยและนวัตกรรม”

 วช.ชู " 2 ทศวรรษ มหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ”ความสำเร็จจากความร่วมมือของเครือข่ายระบบวิจัยทั่วประเทศพร้อมเดินหน้าจัด“มหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2568 "ยกทัพงานวิจัยกว่า 1000 ผลงาน กว่า 200 หน่วยงานร่วมจัดแสดงภายใต้แนวคิด “Research for All เชื่อมต่ออนาคตไทย ด้วยวิจัยและนวัตกรรม”

สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์  วิจัยและนวัตกรรม ร่วมกับหน่วยงานเครือข่ายในระบบวิจัยทั่วประเทศ แถลงข่าวการจัดงาน “มหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2568 (Thailand Research Expo 2025)” จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Research for All เชื่อมต่ออนาคตไทยด้วยวิจัยและนวัตกรรม"

 ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า ปีนี้ครบ 2 ทศวรรษของงานมหกรรมวิจัยแห่งชาติ โดยเป็นปีที่ 20 นับจากการจัดงานครั้งแรกตั้งแต่ปี 2549  งานดังกล่าวได้จัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และพัฒนารูปแบบ นวัตกรรมและการจัดการต่างๆ มาจนถึงปัจจุบัน  ซึ่งความเข้มแข็งที่เกิดขึ้นจากการจัดงาน  คือ ประชาคมวิจัยซึ่งเป็นพันธมิตรที่มาจากทุกหน่วยงานในระบบวิจัย  ทั้งนี้ วช. คาดหวังตั้งแต่ในปีแรกของการจัดกิจกรรมที่จะให้งานมหกรรมงานวิจัยแห่งชาติเป็น “งานของทุกคนในระบบวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม” ที่จะได้นำผลงานที่เกิดจากความคิดสร้างสรรค์ งานวิจัยและนวัตกรรมของนักวิจัยไทยที่ได้มีการสะสมองค์ความรู้ ทั้งเรื่องของเทคโนโลยี ความพร้อมของตัวชุดข้อมูล และระบบต่างๆ ที่เป็นความสำเร็จของการทำงานมานำเสนอผ่านเวทีระดับชาติ



สำหรับมหกรรมงานวิจัยแห่งชาติในปีนี้  เราไม่ได้มองเฉพาะการทำงานในระบบ ววน.หรือภาคระบบวิจัยและนวัตกรรมเท่านั้น  แต่กระทรวง อว.  โดย นางสาวศุภมาส อิสรภักดี   รมว.อว  ยังให้ความสำคัญในการทำงานกับทุกภาคส่วน  ทิศทางของการทำงานในธีมหลักของงานจึงเป็น“Research for All เชื่อมต่ออนาคตไทยด้วยวิจัยและนวัตกรรม" รวมถึงมีธีมสำคัญๆ ในหลายๆเรื่อง  และที่สำคัญได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จเป็นการส่วนพระองค์ในภาคบ่ายของวันที่ 20 มิ.ย.นี้



 ดร.วิภารัตน์  กล่าวอีกว่า   ในฐานะที่เติบโตมาพร้อมกับการจัดงานมหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ ได้เห็นถึงโอกาสและความสามารถของนักวิจัยไทย ที่สอดคล้องกับความเข้มแข็งของประเทศเช่น เกษตรสมัยใหม่ หรือในสถานการณ์ที่มีความจำเป็นในเรื่องของการดูแลสุขภาวะของประชาชนเรื่องของสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจสร้างสรรค์ และพลังงานในมิติต่างๆ  ปัจจุบันหน่วยงานที่เข้าร่วมงานไม่ได้จำกัดอยู่แค่นักวิจัย หรือสถาบันวิจัย แต่วช. ได้ส่งต่อความสำเร็จตั้งแต่ระดับเยาวชน  ซึ่งจะเห็นความหลายหลากของผู้เข้าเยี่ยมชม  มีการแลกเปลี่ยนร่วมกัน  ทำให้เห็นภาพของพลังงานวิจัย และ เห็นการนำไปใช้ประโยชน์

"ประเทศไทยจะก้าวหน้าได้อย่างยั่งยืนต้องมีงานวิจัยที่ใช่ เพื่อสังคม เศรษฐกิจไทย มหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2568 หรือ Thailand Research Expo 2025   ที่จัดขึ้นเป็นปีที่ 20 นับเป็น 2 ทศวรรษแห่งความร่วมมือที่กระทรวง อว. โดย วช.พร้อมด้วยหน่วยงานเครือข่ายในระบบวิจัยทั่วประเทศได้ร่วมสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้น เพื่อเป็นอีกหนึ่งกลไกที่ทำให้งานวิจัยได้ส่งต่อไปสู่ผู้ใช้ประโยชน์ในวงกว้าง เปลี่ยนองค์ความรู้ให้เป็นพลังพัฒนาประเทศไทยอย่างยั่งยืน

การจัดงานในปีนี้เป็นการแสดงให้เห็นถึง "งานวิจัยเป็นเรื่องใกล้ตัวของทุกคน" เปิดโอกาสเพื่อให้ทุกคนสามารถมีส่วนร่วม และได้รับประโยชน์จากงานวิจัยและนวัตกรรม ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของโลกและสังคม ซึ่งการผนวกความร่วมมือระหว่างองค์กรเครือข่ายในระบบวิจัยทั่วประเทศ ปีนี้มีหน่วยงานเข้าร่วมกว่า 200  แห่ง ภาคการประชุมกว่า 150  หัวข้อ  และรวบรวมผลงานกว่า 1,000 ผลงาน ครอบคลุมการใช้ประโยชน์ในมิติต่างๆ ภายใต้  6 ธีมหลัก คือ  งานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน  งานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อสร้างพลังสร้างสรรค์ Soft Power ของประเทศ งานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อใช้ประโยชน์ในภาคอุตสาหกรรมและการพัฒนาเศรษฐกิจใหม่ งานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อยกระดับสังคมอย่างยั่งยืน งานวิจัยและนวัตกรรมสร้างสมดุลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน  และงานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อส่งเสริมศักยภาพวิสาหกิจชุมชน วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) 



   ทั้งนี้มีผลงานวิจัยที่น่าสนใจ อาทิ งานวิจัยการพัฒนาสายพันธุ์หมูดำ ของกรมปศุสัตว์ ที่นำเครื่องหมายพันธุกรรมและเทคโนโลยีจีโนมมาใช้ เพื่อประโยชน์แก่เกษตรกรรายย่อยเกษตรกรหมูหลุมและเกษตรกรชาวเขาบนพื้นที่สูงเพื่อเพิ่มความมั่นคงทางอาหาร  สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ หรือ สดร. จัดแสดง อุปกรณ์ตรวจวัดสภาพอากาศที่จะร่วมติดตั้งไปกับยานสำรวจอวกาศ ฉางเอ๋อ สำหรับสำรวจสภาพอวกาศโดยรอบดวงจันทร์  กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์  ซึ่งเห็นความสำคัญเกี่ยวกับการแพ้ยารุนแรงของผู้ป่วย นำเสนอ“ผูกพันธุ์”แพลตฟอร์มดิจิทัลรายงานผลการตรวจทางพันธุกรรม  มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี จัดแสดง นวัตกรรมรองเท้าอิเล็กทรอนิกส์และระบบต้นแบบ สำหรับระบบแพทย์ระยะไกลในผู้ป่วยที่มีปัญหาด้านการเคลื่อนไหวและผู้สูงอายุ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง จัดแสดงงานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อสร้างพลัง สร้างสรรค์ Soft Power มวยไทยสู่สากล มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ การพัฒนาการท่องเที่ยวสัตว์ป่าเพื่อส่งเสริมการจัดการพื้นที่ กันชนมรดกโลกห้วยขาแข้ง จังหวัดอุทัยธานี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นวัตกรรมการสกัดสารจากสมุนไพรด้วยเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข จัดแสดงการบูรณาการฟื้นฟูขากรรไกรและใบหน้าแบบครอบคลุม โดยการใช้ตำแหน่งฟันเทียมร่วมในการวางแผนผ่าตัดเสมือนจริงด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ช่วยผ่าตัดเฉพาะบุคคล



นอกจากการนำเสนอผลงานวิจัยและนวัตกรรมผลงาน จากเครือข่ายในระบบวิจัยทั่วประเทศแล้ว ภายในงานยังได้มีการนำเสนอนิทรรศการน้อมรำลึกพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนารถบพิตร รัชกาลที่ 9 ผู้ทรงเป็น “พระบิดาแห่งการวิจัยไทย”, นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10, นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ เจริญพระชนมายุ 70 พรรษา วันที่ 2 เมษายน 2568, นิทรรศการผลงานนวัตกรรมสายอุดมศึกษา,นิทรรศการเครือข่ายวิจัยภูมิภาค, Research Festival, นิทรรศการศาสตร์และศิลป์งานวิจัย และนิทรรศการ Thailand Research  Expo & Symposium 2025  The National RGJ & RRI Conference 2025

ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงาน “มหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2568 (Thailand Research Expo 2025)” ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 16 - 20 มิถุนายน 2568 ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์  และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ เวลา 09.00 - 17.00 น. ลงทะเบียนเข้าร่วมงานฟรีโดยไม่มีค่าใช้จ่ายได้ที่ https://researchexporegistration.com หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร 0-2579-1370-9 ต่อ 263, 264 และ 265 (ภาคการประชุม) หรือ 0-2579-1390 ต่อ 516 517 (ภาคนิทรรศการ)

///////////



“กรมการค้าภายใน” เสริมแกร่งเกษตรกรไทย เดินหน้าอบรม–โค้ชชิ่งทั่วประเทศ ขายข้าวออนไลน์ ยกระดับสู่เกษตรกรยุคดิจิทัล

 “กรมการค้าภายใน” เสริมแกร่งเกษตรกรไทย เดินหน้าอบรม–โค้ชชิ่งทั่วประเทศ ขายข้าวออนไลน์ ยกระดับสู่เกษตรกรยุคดิจิทัล

นางสาวญาณี ศรีมณี รองอธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ได้เร่งขับเคลื่อนนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ภายใต้การนำของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่มุ่ง “ทลายทุนผูกขาด” โดยหนึ่งในเป้าหมายสำคัญ คือ การเปิดโอกาสให้เกษตรกรไทยและผู้ประกอบการรายย่อยสามารถส่งออกข้าวไปยังต่างประเทศได้ด้วยตนเอง จึงได้มีการปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการค้าข้าว เพื่อลดภาระขั้นตอนและค่าธรรมเนียมที่เคยเป็นอุปสรรคมาก่อน

ในส่วนของการแก้ไขกฎหมาย กรมฯ ได้ดำเนินการยกเว้นการสต็อกข้าวสารในขั้นตอนขออนุญาตเป็นผู้ส่งออกข้าว สำหรับกลุ่มเกษตรกรและสหกรณ์ ตามประกาศคณะกรรมการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติการค้าข้าว ฉบับที่ 154 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม 2568 นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคมที่ผ่านมา เพื่อยกเว้นค่าธรรมเนียมให้กับเกษตรกรและสหกรณ์ที่ขออนุญาตเป็นผู้ส่งออกข้าวทั่วไป และข้าวสารบรรจุกล่องหรือหีบห่อไม่เกิน 12 กิโลกรัม คาดว่าจะประกาศใช้ในเดือนมิถุนายนนี้ พร้อมกันนี้ยังสามารถยื่นคำขอผ่านระบบออนไลน์ Ricetrade.dit.go.th แล้วเสร็จภายใน 1 วัน เพิ่มความสะดวกรวดเร็วอย่างเป็นรูปธรรม

ในด้านการส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการค้าข้าว กรมฯ ได้ดำเนินการจัดอบรมให้ความรู้กับกลุ่มเกษตรกรและสหกรณ์ทั่วประเทศภายใต้โครงการพัฒนาศักยภาพ สร้างรายได้ และเพิ่มมูลค่าการตลาดสินค้าเกษตร โดยตั้งเป้าจัดอบรม 20 รุ่นๆ ละ 2 วัน ผู้เข้าอบรมรุ่นละไม่ต่ำกว่า 50 คน เนื้อหาครอบคลุมตั้งแต่แนวโน้มตลาดออนไลน์ กลยุทธ์การทำคอนเทนต์ขายของผ่าน TikTok และ Facebook การวิเคราะห์คลิปให้ปัง รวมถึง Workshop การขายจริง พร้อมทั้งให้ความรู้ด้านกฎระเบียบและมาตรฐานส่งออกข้าว รวมถึงแนะแนวทางการเข้าสู่แพลตฟอร์ม Thaitrade.com ของกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งปัจจุบันได้จัดอบรมไปแล้ว 11 รุ่น มีผู้แทนกลุ่มเกษตรกรและสหกรณ์เข้าร่วมแล้ว 688 ราย และยังมีแผนคัดเลือกกลุ่มเกษตรกรศักยภาพ 20 กลุ่ม เพื่อเข้าสู่กระบวนการ Coaching เชิงลึก โดยผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาด พร้อมเชื่อมโยงตลาดทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้กลุ่มเกษตรกรสามารถเติบโตในธุรกิจค้าข้าวได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในยุคดิจิทัลต่อไป



นางสาวญาณี กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ กรมการค้าภายในยังได้ร่วมจัดนิทรรศการในงาน "วันข้าวและชาวนาแห่งชาติ ประจำปี 2568" ระหว่างวันที่ 5 - 7 มิถุนายน 2568 ณ ศูนย์ศิลปาชีพบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมีกิจกรรมหลากหลาย เช่น การสาธิตการทำเมนูอาหารจากข้าว การจำหน่ายและประชาสัมพันธ์สินค้าข้าวจากกลุ่มเกษตรกร การนำเสนอช่องทางการจำหน่ายสินค้าผ่านออนไลน์ รวมถึงการถ่ายทอดสดกิจกรรมตลอดทั้งงานผ่านช่องทางออนไลน์ โดยจะมีเชฟชื่อดังที่เป็นอินฟลูเอนเซอร์ในโลกโซเชียล มาร่วมสาธิตการทำอาหาร และช่วยสร้างการรับรู้สินค้าให้กับเกษตรกรในอีกมิติหนึ่งด้วย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างโอกาสทางการตลาดให้กับกลุ่มเกษตรกรไทยอย่างครบวงจร

กรมการค้าต่างประเทศแจ้งข่าวดี FTA ไทย - ญี่ปุ่น ส่งออกใช้ e – CO เต็มรูปแบบ มิถุนายนนี้

 กรมการค้าต่างประเทศแจ้งข่าวดี FTA ไทย - ญี่ปุ่น ส่งออกใช้ e – CO เต็มรูปแบบ มิถุนายนนี้

กรมการค้าต่างประเทศพร้อมให้บริการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าแบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e – CO ภายใต้ FTA ไทย - ญี่ปุ่น เต็มรูปแบบ ผ่านระบบ SMART CO ตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป เพื่ออำนวยความสะดวกผู้ส่งออกไทย ลดขั้นตอน ลดต้นทุน สร้างแต้มต่อให้สินค้าไทยในตลาดญี่ปุ่น

นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน 2568 ผู้ส่งออกไทยสามารถใช้ e – CO เป็นหลักฐานการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าเพื่อใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้ความตกลงระหว่างราชอาณาจักรไทยและญี่ปุ่นสำหรับความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ (Japan – Thailand Economic Partnership Agreement: JTEPA) สำหรับการส่งออกสินค้าจากไทยไปญี่ปุ่นได้อย่างสมบูรณ์ โดยเมื่อผู้ประกอบการกรอกข้อมูลในการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าในระบบ SMART CO ของกรมการค้าต่างประเทศ และผ่านการอนุมัติจากกรมการค้าต่างประเทศแล้ว ข้อมูลดังกล่าวจะส่งผ่านระบบไปยังญี่ปุ่นทันที โดยไม่จำเป็นต้องยื่นหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (CO) ในรูปแบบกระดาษอีกต่อไป ซึ่งที่ผ่านมา กรมการค้าต่างประเทศและศุลกากรญี่ปุ่นได้ดำเนินการทดลองการส่งข้อมูล e – CO ระหว่างกันตั้งแต่เดือนมีนาคม 2568 จนถึงตอนนี้ได้ปรับปรุงและพัฒนาระบบได้อย่างเสถียรตามเป้าหมายแล้ว พร้อมที่จะใช้งาน e – CO นี้ได้อย่างเต็มรูปแบบตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป 

นางอารดาฯ กล่าวว่า กรมการค้าต่างประเทศเล็งเห็นแล้วว่าไทยมีมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้ความตกลงดังกล่าวที่อยู่ในระดับสูงจึงได้ผลักดันการเจรจาจัดทำ e – CO ภายใต้ความตกลง JTEPA ตั้งแต่ปี 2564 ซึ่งที่ผ่านมา กรมฯ ได้ดำเนินการเจรจาแก้ไขระเบียบปฏิบัติเพื่อรองรับ e - CO รวมถึงได้พัฒนาระบบการแลกเปลี่ยน e – CO กับญี่ปุ่น จนบรรลุตามเป้าหมายที่ต้องการบังคับใช้ e – CO ให้ได้ภายในเดือนมิถุนายน 2568 ทั้งนี้ ความตกลง JTEPA กำหนดหลักฐานการรับรองถิ่นกำเนิดไว้ 2 รูปแบบ ได้แก่ CO รูปแบบกระดาษ และ e – CO ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยที่ยังไม่พร้อมจะใช้รูปแบบ e – CO ยังคงสามารถขอ CO ในรูปแบบกระดาษจากกรมการค้าต่างประเทศได้เช่นเดิม

นางอารดาฯ เพิ่มเติมว่า สำหรับความตกลง JTEPA ที่ได้บังคับใช้มากกว่า 18 ปี ถือเป็น FTA ที่มีการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าสูงติด 5 อันดับแรกของไทยมาโดยตลอด โดยในเดือนมกราคม - มีนาคม 2568 มีมูลค่าการขอใช้สิทธิฯ 1,572.48 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 49,206.04 ล้านบาท และแม้ว่าจะมีมูลค่าการใช้สิทธิฯ ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 2.6 % แต่รั้งอันดับ 4 ของ FTA ที่มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ สูงสุด รองมาจาก ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ATIGA) ความตกลงเขตการค้าอาเซียน – จีน (ACFTA) และความตกลงการค้าเสรีอาเซียน – อินเดีย (AIFTA) โดยมีรายการสินค้าสำคัญที่มีการใช้สิทธิฯ สูงสุด 5 อันดับ ได้แก่ 1) ไก่ชนิดแกลลัสโดเมสติกัสที่ปรุงแต่งหรือที่ทำไว้ไม่ให้เสีย 2) ชิ้นเนื้อและส่วนอื่นที่บริโภคได้ของสัตว์ปีกเลี้ยง แช่เย็นจนแข็ง 3) เดกซ์ทริน และโมดิไฟด์สตาร์ชอื่น ๆ 4) ลวดและเคเบิลทำด้วยทองแดง 5) ผลิตภัณฑ์พลาสติก โพลิอะซีทัล โพลิอีเทอร์อื่น ๆ ที่มีค่าความหนืด 78 มิลลิลิตร ต่อกรัม หรือสูงกว่า 

นอกจากการพัฒนาระบบ e – CO ภายใต้ความตกลง JTEPA ในปี 2568 กรมการค้าต่างประเทศยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อยกระดับ FTAs อีกหลายฉบับ เช่น ATIGA AIFTA ความตกลงเพื่อการจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียน - ออสเตรเลีย – นิวซีแลนด์ และเจรจาเพื่อจัดทำ FTAs กับประเทศคู่ค้าใหม่ ๆ (อาเซียน-แคนาดา และไทย-สหภาพยุโรป (EU)) โดยมุ่งเน้นกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้าที่สอดคล้องกับกระบวนการผลิตของไทยและแนวปฏิบัติที่อำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการใช้สิทธิประโยชน์ ทั้งนี้ กรมการค้าต่างประเทศ พร้อมให้ข้อมูลและคำปรึกษาแก่ผู้ประกอบการ โดยสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกรมการค้าต่างประเทศ โทร. 1385


วว. ร่วมแถลงข่าวการจัดงานมหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2568 “Research for All เชื่อมต่ออนาคตไทยด้วยวิจัยและนวัตกรรม”

 วว. ร่วมแถลงข่าวการจัดงานมหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2568 “Research for All  เชื่อมต่ออนาคตไทยด้วยวิจัยและนวัตกรรม”



ผศ.ดร.วีรชัย   อาจหาญ  ผู้ว่าการ  สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) กระทรวงการอุดมศึกษา  วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)  ร่วมแถลงข่าวการจัดงานมหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2568 (Thailand Research Expo 2025) ช่วง “Thailand Research Expo 2025 Talk : Research for All เชื่อมต่ออนาคตไทยด้วยวิจัยและนวัตกรรม” โดยมี ดร.วิภารัตน์  ดีอ่อง ผู้อำนวยการ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เป็นประธานการแถลงข่าว ซึ่งกำหนดการจัดงานในวันที่ 16-20 มิถุนายน 2568 ณ โรงแรมเซ็นทราแกรนด์ฯ เซ็นทรัลเวิลด์ 





ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเวทีระดับชาติ ในการนำเสนอความก้าวหน้าผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่มีศักยภาพพร้อมใช้ประโยชน์ เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมของประเทศ อีกทั้งเป็นการหนุนเสริมให้เกิดกลไกสนับสนุน พัฒนางานวิจัยของไทยให้เข้มแข้ง และสามารถส่งต่อ/ขยายผลหรือต่อยอดให้เกิดประโยชน์แก่สังคม โดยการบูรณาการเชื่อมโยงความร่วมมือระหว่างองค์กรและเครือข่ายในระบบวิจัยทั่วประเทศ 


โดยในปีนี้ วว. จะนำผลงานเด่นร่วมจัดนิทรรศการจำนวน 2 ผลงานในธีม “งานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อสร้างสมดุลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน” ได้แก่ 

1) นวัตกรรมกลุ่มจุลินทรีย์ “BioD I วว.” ย่อยสลายตอซังและฟางข้าวอย่างยั่งยืน   โดยตอซังและฟางข้าวนิ่มลง ไถกลบได้ง่ายภายใน 5-10 วัน   เพิ่มปริมาณธาตุอาหารหลักในดิน และเป็นมิตรต่อระบบนิเวศอย่างเป็นรูปธรรม  นำไปใช้ด้านการเกษตรผ่านกลุ่มเป้าหมาย คือ เกษตรกรในพื้นที่ 7 อำเภอของจังหวัดปทุมธานี 

2) การพัฒนาระบบฐานข้อมูลและการจัดทำเขตการจัดการพื้นที่ใหม่ของพื้นที่สงวนชีวมณฑลสะแกราช เพื่อการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน   ได้รับสนับสนุนทุนวิจัยโดย สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)   นวัตกรรมผลงาน ได้แก่ 1. รวบรวมและนำเข้าฐานข้อมูลในเขตจัดการพื้นที่สงวนชีวมณฑลสะแกราช  2. เขตการจัดการของพื้นที่สงวนชีวมณฑลสะแกราช  ได้ดำเนินการแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2567 โดยมีเนื้อที่ 1,970 ตร.กม. หรือ 1,231,131 ไร่ ครอบคลุมพื้นที่ 14 ตำบล ใน 3 อำเภอ ของ จังหวัดนครราชสีมา  และ 3. เขตการจัดการ (Zoning) ใหม่  จำนวน 3 เขต ได้แก่ พื้นที่แกนกลาง (Core area) เขตกันชน (Buffer zone) และ พื้นที่รอบนอก (Transition area)

โอกาสนี้ ดร.อัญชนา พัฒนสุพงษ์ ผู้อำนวยการ ห้องปฏิบัติการทดสอบการสลายตัวทางชีวภาพของวัสดุ ศูนย์พัฒนาและวิเคราะห์สมบัติของวัสดุ พร้อมทีมวิจัยและกองประชาสัมพันธ์ สำนักสื่อสารองค์กร เข้าร่วมเป็นเกียรติและจัดแสดงนิทรรศการผลงาน “BioD I วว.” ด้วย  ในวันอาทิตย์ที่ 1 มิถุนายน 2568  ณ ห้อง Lotus Suite 1-14 ชั้น 22 โรงแรมเซ็นทราแกรนด์ฯ เซ็นทรัลเวิลด์ ราชประสงค์ กรุงเทพฯ


OMODA & JAECOO Show Proud! โชว์ตัวตนให้โลกต้องเหลียวมอง!เฉลิมฉลองไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายในฐานะแบรนด์ที่เข้าใจทุกอัตลักษณ์​ ขับเคลื่อนขบวนพาเหรดแห่งความภาคภูมิใจ Bangkok Pride Festival 2025

  OMODA & JAECOO Show Proud! โชว์ตัวตนให้โลกต้องเหลียวมอง!เฉลิมฉลองไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายในฐานะแบรนด์ที่เข้าใจทุกอัตลักษณ์​ ขับเคลื่อนขบวน...