วันพฤหัสบดีที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

“รองนายกฯ ประเสริฐ” ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำท่วม และพบปะพี่น้องประชาชนในพื้นที่ จ.สุโขทัย พร้อมทั้งสั่งการทุกหน่วยเร่งวางแผนบริหารจัดการน้ำรองรับฝนระลอกใหม่ปลาย ส.ค. ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

 “รองนายกฯ ประเสริฐ” ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำท่วม และพบปะพี่น้องประชาชนในพื้นที่ จ.สุโขทัย พร้อมทั้งสั่งการทุกหน่วยเร่งวางแผนบริหารจัดการน้ำรองรับฝนระลอกใหม่ปลาย ส.ค. ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น











รองนายกฯ ประเสริฐ” ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำท่วม จ.สุโขทัย ย้ำทุกหน่วยต้องบริหารจัดการน้ำเชิงรุก เตรียมพร้อมรับฝนระลอกใหม่ช่วงปลาย ส.ค. – ต.ค. ควบคู่การเร่งช่วยเหลือผู้ประสบภัย และยกระดับระบบการแจ้งเตือนภัยและประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลได้อย่างทั่วถึงและทันต่อสถานการณ์





วันนี้ (31 กรกฎาคม 2568) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ลงพื้นที่ตรวจราชการในพื้นที่อุทกภัย จังหวัดสุโขทัย พร้อมด้วย ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) คณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ สทนช. โดยมี นางสาวสรินรัตน์ เกิดสกุลรุ่งโรจน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย กล่าวต้อนรับ และนายสมรักษ์ ยกน้อยวงษ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย กล่าวรายงาน พร้อมด้วย ผู้แทนจังหวัดนครสวรรค์ น่าน พะเยา พิจิตร พิษณุโลก เพชรบูรณ์ แพร่ ลำปาง สุโขทัย อุตรดิตถ์ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม โดยที่ประชุมได้ร่วมรับฟังสรุปสถานการณ์และการแก้ไขปัญหา พร้อมเตรียมการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำยม-น่าน แต่ละจังหวัด ณ องค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัย ตำบลบ้านกล้วย อำเภอเมืองสุโขทัย ภายหลังการประชุม รองนายกรัฐมนตรีและคณะได้ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์และพบปะเยี่ยมเยียนพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ณ ศาลเจ้าปุงเถ่ากุง-ม่า ตำบลปากแคว อำเภอเมืองสุโขทัย และบริเวณคลองตาเป้า หมู่ 3 ตำบลบ้านนา อำเภอศรีสำโรง โดยได้ให้กำลังใจและมอบถุงยังชีพให้แก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย จากนั้น คณะรองนายกรัฐมนตรีได้เดินทางไปติดตามการบริหารจัดการน้ำลุ่มน้ำยม-น่าน  ณ ประตูระบายน้ำบ้านหาดสะพานจันทร์ และประตูระบายน้ำคลองหกบาท อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย เพื่อรับฟังแผนการระบายน้ำและการผันน้ำระหว่างลุ่มน้ำ พร้อมเน้นย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบริหารจัดการน้ำตาม 9 มาตรการรับมือฤดูฝนปี 2568 อย่างมีประสิทธิภาพ และสื่อสารแจ้งเตือนประชาชนให้ได้รับทราบข้อมูลอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา




รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมาประเทศไทยได้รับผลกระทบจากพายุ“วิภา” ที่แม้จะอ่อนกำลังลงเป็นดีเปรสชัน และหย่อมความกดอากาศต่ำ ประกอบกับร่องมรสุมที่พัดผ่านบริเวณตอนบนของประเทศ ส่งผลให้หลายพื้นที่ในจังหวัดภาคเหนือตอนบนได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง เกิดอุทกภัยในหลายพื้นที่ ทั้งนี้ พื้นที่ลุ่มน้ำยม-ลุ่มน้ำน่าน ได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก ประกอบกับปัจจุบันไม่มีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่รองรับ ทำให้พื้นที่เปราะบางของลุ่มน้ำยมเกิดความเสี่ยงต่อการเกิดอุทกภัย นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรียังได้เน้นย้ำว่า ฤดูฝนยังอยู่ในช่วงกลางฤดู ซึ่งยังคงมีความเสี่ยงที่จะเกิดฝนตกหนักและอุทกภัยเพิ่มขึ้นอีก จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกหน่วยงานต้องเตรียมการรองรับสถานการณ์ให้เข้มข้นยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยง เพื่อป้องกันและลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนในพื้นที่





การลงพื้นที่เพื่อติดตามสถานการณ์ในวันนี้ เพื่อต้องการรับฟังข้อมูลจากหน่วยงานและพี่น้องประชาชน รวมทั้งมีการหารือเพื่อร่วมวางแผนเชิงรุกสำหรับการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำยมและลุ่มน้ำน่านให้มีประสิทธิภาพ พร้อมกันนี้ได้กล่าวชื่นชมว่าทุกจังหวัดและหน่วยงานได้มีการเตรียมการรับมือไว้ล่วงหน้าเป็นอย่างดี เช่น การดำเนินการตามมาตรการรับมือฤดูฝนปี 2568 การตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำยม-น่าน การดำเนินการซักซ้อมและการเผชิญเหตุในระดับต่าง ๆ รวมถึงการแจ้งเตือนภัยผ่านระบบ Cell Broadcast อย่างไรก็ตาม ในช่วงเดือนสิงหาคม – ตุลาคมนี้ มีการคาดการณ์ว่าปริมาณฝนในหลายพื้นที่อาจสูงกว่าค่าเฉลี่ย ซึ่งมีโอกาสที่พื้นที่ภาคเหนือและภาคกลางตอนล่างจะเกิดอุทกภัย น้ำหลาก และดินถล่มได้ จึงขอให้ทุกหน่วยบูรณาการทำงานร่วมกัน และเร่งดำเนินการมาตรการเชิงรุก เพื่อลดความเสี่ยงและความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน โดยได้มอบหมายหน่วยงาน ดังนี้  ให้ 1) สทนช. ร่วมกับ กรมชลประทาน (ชป.) และ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) บูรณาการการระบายน้ำจาก เขื่อนสิริกิติ์ และ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดนผ่านกลไกศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำยม-น่าน ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เกิดผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายน้ำน้อยที่สุด และมีน้ำสำรองให้เพียงพอต่อการอุปโภคบริโภคและภาคการเกษตรในฤดูแล้งที่จะมาถึงด้วย 2) ให้ ชป. เร่งระบายน้ำเพื่อลดระดับน้ำ จากแม่น้ำยมไปสู่แม่น้ำน่าน พร้อมทั้งเสริมคันป้องกันน้ำชั่วคราวในจุดที่มีความเปราะบาง และติดตั้งเครื่องสูบน้ำในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำล้นตลิ่ง และให้บูรณาการกับ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) และกรมทรัพยากรน้ำ ในการจัดสรรเครื่องสูบน้ำให้เพียงพอต่อความจำเป็น 3) ให้ ชป. ร่วมกับ จังหวัดอุตรดิตถ์ จังหวัดพิษณุโลก และจังหวัดสุโขทัย เตรียมความพร้อมการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่บางระกำโมเดล สำหรับใช้รับน้ำหลากในช่วงกลางเดือนสิงหาคมถึงปลายเดือนตุลาคม 2568 4) ให้จังหวัดประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลประชาชนในพื้นที่รับทราบอย่างต่อเนื่อง 5) ให้ ปภ. ร่วมกับ จังหวัดในพื้นที่ลุ่มน้ำยมและลุ่มน้ำน่าน จัดทำแผนเผชิญเหตุ เตรียมความพร้อมบุคลากร เครื่องมือ และระบบการช่วยเหลือฉุกเฉิน ให้สามารถให้ความช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทันท่วงที 6) ในกรณีที่ต้องมีการอพยพ ให้มีการจัดเตรียม ศูนย์พักพิงชั่วคราว พร้อมทั้งจัดเตรียมสาธารณูปโภค อาหารและหน่วยแพทย์ ให้พร้อมในการดูแลผู้ประสบภัย 

7) การแจ้งเตือนภัย ขอให้ จังหวัดในพื้นที่ลุ่มน้ำยมและลุ่มน้ำน่าน ร่วมกับ กรมประชาสัมพันธ์ และ ปภ. ใช้ระบบการ

แจ้งเตือนภัยผ่านระบบ Cell Broadcast (CB) ควบคู่กับช่องทางอื่น ๆ ทุกช่องทางที่มีของภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชน ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วน และทันต่อสถานการณ์ จึงขอให้พี่น้องประชาชนเชื่อมั่นในความตั้งใจของรัฐบาล ที่มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยอย่างยิ่ง และมุ่งมั่นที่จะร่วมมือกับทุกหน่วยงานในการป้องกันและลดผลกระทบให้ได้มากที่สุด

ด้าน เลขาธิการ สทนช. เปิดเผยเพิ่มเติมว่า สำหรับสถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำยม มีจำนวนแหล่งน้ำทั้งหมด 3,859 แห่ง ความจุรวม 533.03 ล้าน ลบ.ม. ปัจจุบันมีปริมาตรน้ำรวม 317.65 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็น 60% ของความจุเก็บกัก 





ขณะที่ลุ่มน้ำน่าน มีจำนวนแหล่งน้ำทั้งหมด 4,337 แห่ง ความจุรวม 10,809.33 ล้าน ลบ.ม. ปัจจุบันมีปริมาตรน้ำรวม 7,814.26 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็น72% ของความจุเก็บกัก ในภาพรวมยังคงมีพื้นที่รองรับปริมาณฝนที่จะตกมาได้อีก สำหรับสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ลุ่มน้ำยม-น่าน พบว่า จังหวัดน่านได้รับผลกระทบจากฝนตกสะสมสูงสุด มวลน้ำจากพื้นที่ตอนบนของจังหวัดน่านมีแนวโน้มจะไหลลงสู่เขื่อนสิริกิติ์ ซึ่งเป็นเขื่อนหลักในการรองรับน้ำของลุ่มน้ำน่าน และมีบทบาทสำคัญในการควบคุมการระบายลงสู่แม่น้ำน่านตอนล่างและลุ่มน้ำเจ้าพระยา โดยคาดว่าหากไม่มีฝนตกซ้ำในปริมาณมาก พื้นที่ประสบภัยในจังหวัดน่านจะสามารถกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้ภายในสัปดาห์หน้า ในขณะที่ ลุ่มน้ำยม จังหวัดแพร่ และสุโขทัยเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่องจากมวลน้ำตอนบน ขณะนี้สถานการณ์โดยรวมเริ่มคลี่คลาย โดยระดับน้ำในแม่น้ำยมลดลงต่อเนื่อง แต่ยังคงมีน้ำท่วมขังในบางพื้นที่ลุ่มต่ำและพื้นที่เกษตร อย่างไรก็ตาม จังหวัดสุโขทัยยังมีแนวโน้มระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นในบางจุด ซึ่งได้มีการควบคุมมวลน้ำจากภาคเหนือลงสู่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา โดยขณะนี้อยู่ในช่วงปรับลดการระบายน้ำจากเขื่อนสิริกิติ์ และควบคุมระดับน้ำเหนือเขื่อนนเรศวร เพื่อเร่งระบายน้ำจากแม่น้ำยมเข้าสู่แม่น้ำน่าน และควบคุมระดับน้ำไม่ให้ล้นตลิ่งในตัวเมืองสุโขทัย รวมทั้งเสริมแนวป้องกันน้ำในเขตเศรษฐกิจและพื้นที่เสี่ยงซ้ำซาก และเปิดบานประตูระบายน้ำทุกจุดเต็มศักยภาพ รวมถึงการเตรียมพื้นที่รองรับน้ำใน พื้นที่ลุ่มต่ำ บางระกำโมเดล ที่สามารถหน่วงน้ำได้ถึง 400 ล้าน ลบ.ม. หลังจากเก็บเกี่ยวข้าวแล้วเสร็จภายในกลางเดือนสิงหาคม เพื่อเตรียมรองรับปริมาณฝนหรือพายุที่คาดว่าจะเกิดขึ้นอีกในช่วงปลายฤดูฝน


สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ 

31 กรกฎาคม 2568


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Kumwell เดินหน้าสู่อนาคต เปิดตัวบริษัทในเครือใหม่ "CTA Engineering and Solutions Co., Ltd. หรือ CTA ES"

  Kumwell เดินหน้าสู่อนาคต เปิดตัวบริษัทในเครือใหม่ "CTA Engineering and Solutions Co., Ltd. หรือ CTA ES"  บริษัท คัมเวล คอร์ปอเรช...