วันพุธที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2568

สกศ. เปิดรายงาน “สภาวะการศึกษาไทย” ไตรมาสที่ 3 ปี 68เร่งดันการศึกษาให้ทันยุคดิจิทัล พร้อมพัฒนากำลังคนแห่งอนาคต

 สกศ. เปิดรายงาน “สภาวะการศึกษาไทย” ไตรมาสที่ 3 ปี 68เร่งดันการศึกษาให้ทันยุคดิจิทัล พร้อมพัฒนากำลังคนแห่งอนาคต

วันที่ 6 สิงหาคม 2568 รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการสภาการศึกษา เป็นประธานเปิดการประชุมสัมมนาเพื่อเผยแพร่รายงานสภาวะการศึกษาไทย ไตรมาสที่ 3 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 โดยมี ดร.ศวิต กาสุริยะ รองผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) นางอำภา พรหมวาทย์ ที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนการศึกษา นายวีระพงษ์ อู๋เจริญ ผู้อำนวยการสำนักประเมินผลการจัดการศึกษา พร้อมด้วย ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการศึกษา นักวิชาการ ผู้บริหารสถานศึกษา ครู อาจารย์ และบุคลากรสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) ร่วมประชุม ณ โรงแรมสวิสโซเทล กรุงเทพ รัชดา กรุงเทพมหานคร

รศ.ดร.ประวิต กล่าวเปิดการประชุมและนำเสนอรายงานสภาวะการศึกษาไทย ไตรมาสที่ 3 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ประกอบด้วย 4 ประเด็นสำคัญ คือ 

ประเด็นที่ 1 บทวิเคราะห์เชิงลึกสมรรถนะการศึกษาไทยในเวทีโลก (Global Competency Insight) มีเนื้อหาสำคัญ 3 ประเด็น ได้แก่ 

1) สรุปภาพรวมดัชนีชี้วัดที่เกี่ยวข้องและเชื่อมโยงการศึกษาในเวทีโลก โดยแบ่งเป็น 4 ด้าน คือ

- ดัชนีชี้วัดด้านวิชาการและสถาบันทางการศึกษา (Academic & Institution Index) ได้แก่ PISA, QS World University Ranking,  EF English Proficiency INDEX เป็นต้น

- ดัชนีชี้วัดด้านทรัพยากรมนุษย์และความยั่งยืน (Human Resource & Sustainability Index) ได้แก่ Human Development Index, Sustainable Development Goals เป็นต้น

- ดัชนีชี้วัดด้านความสามารถทางแข่งขัน (Competitiveness Index) ได้แก่ IMD World Competitiveness Index เป็นต้น

- ดัชนีด้านเทคโนโลยีและทักษะ (Technology & Skill Index) ได้แก่ IMD World Digital Competitiveness Ranking เป็นต้น

2) สมรรถนะการศึกษาไทยในเวทีโลกผ่านมุมมองของดัชนี IMD ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงภาพรวมการศึกษาที่ได้มาตรฐานในระดับนานาชาติ พบว่า ปี 2568 ผลการจัดอันดับในภาพรวมของประเทศไทย อยู่ในอันดับที่ 30 จาก 69 ประเทศ และเมื่อพิจารณาปัจจัยย่อยด้านการศึกษา ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 55 จาก 69 ประเทศ อย่างไรก็ตาม มีพัฒนาการศึกษาไทยที่น่าสนใจ ดังนี้ 

- ปี 2568 ไทยอยู่ในเปอร์เซ็นไทล์ที่ 20.6% ซึ่งถือว่าดีกว่าปีที่ผ่านมาเล็กน้อย 

- ในมิติอันดับตัวชี้วัด พบว่า ตัวชี้วัดทั้งสิ้น 19 ตัวชี้วัด มีตัวชี้วัดที่อันดับดีขึ้น 6 ตัวชี้วัด อันดับเท่าเดิม 2 ตัวชี้วัด และอันดับลดลง 11 ตัวชี้วัด 

- มิติค่าตัวชี้วัดเทียบกับปีที่ผ่านมา จากตัวชี้วัดทั้งสิ้น 19 ตัวชี้วัด เมื่อพิจารณาเฉพาะตัวชี้วัดสถิติทางการศึกษา 15 ตัวชี้วัด พบว่า มีตัวชี้วัดที่อันดับดีขึ้น 7 ตัวชี้วัด อันดับเท่าเดิม 4 ตัวชี้วัด และอันดับลดลง 4 ตัวชี้วัด ซึ่งถือว่าแนวโน้มพัฒนาการตัวชี้วัดสถิติทางการศึกษาของประเทศไทยส่วนใหญ่ดีขึ้น 

- มิติค่าตัวชี้วัดเทียบกับค่าเฉลี่ยทั่วโลก พบว่า มีตัวชี้วัด 2 ตัวชี้วัดที่มีค่ามากกว่าค่าเฉลี่ย คือ งบประมาณด้านการศึกษาต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) (%) และอัตราส่วนนักเรียนต่อครู 1 คนที่สอนระดับประถมศึกษา

- จากการสำรวจตัวชี้วัดที่น่าดึงดูดใจของแต่ละประเทศต่อการลงทุน หรือการแข่งขัน มีปัจจัยบวกที่เชื่อมโยงและสะท้อนให้เห็นถึงคุณภาพของการศึกษาและทรัพยากรมนุษย์ของประเทศไทยอยู่ 2 อันดับ คือ อันดับ 1 ทัศนคติที่เปิดกว้างและเชิงบวก (Open and positive attitudes) อยู่ที่ 69.5% และอันดับที่ 5 แรงงานที่มีทักษะ (Skilled workforce) อยู่ที่ 45.7%

3) สมรรถนะการศึกษาไทยในเวทีโลกเปรียบเทียบกับประเทศที่น่าสนใจ การเปรียบเทียบ Education Benchmarking กับประเทศต่าง ๆ ใน 5 มิตินี้ จะช่วยให้เข้าใจสมรรถนะการศึกษาของประเทศไทยได้ดีมากยิ่งขึ้น ได้แก่ คุณภาพผู้เรียน (Quality) การเข้าถึงระบบการศึกษา (Access) ความเท่าเทียมทางการศึกษา (Equity) ประสิทธิภาพในการจัดการศึกษา (Efficiency) และการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง (Relevancy) โดยวิเคราะห์ได้ว่า ไทยมีค่าดัชนีด้านคุณภาพผู้เรียนอยู่ที่ 0.55 ซึ่งอยู่ในระดับพอใช้เมื่อเทียบกับประเทศในกลุ่มอาเซียนและOECD มีค่าดัชนีด้านการเข้าถึงการศึกษาอยู่ที่ 0.59 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับปานกลางค่อนไปทางสูง สะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยมีความก้าวหน้าในการขยายโอกาสทางการศึกษาในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตามพบว่า ยังคงมีความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา มีความไม่สอดคล้องระหว่างการลงทุนด้านการศึกษากับผลลัพธ์ทางการเรียนรู้ และต้องเพิ่มการตอบสนองต่อความต้องการของตลาดแรงงานที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะด้านทักษะในศตวรรษที่ 21


ประเด็นที่ 2 บทวิเคราะห์เชิงลึกการประเมินผลทางการศึกษาในเวทีโลก (Global Evaluation Insight) โดยการประเมินผลการศึกษามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการกำหนดนโยบายและการชี้วัดความสำเร็จในการจัดการศึกษา ซึ่ง สกศ. อยู่ในระหว่างการจัดทำงานด้านการประเมินผลทางการศึกษาอยู่ 2 เรื่อง คือ 1) การทำ Education Self-Assessment เพื่อเตรียมตัวเข้าเป็นสมาชิก OECD ซึ่งประกอบด้วย การจัดทำเอกสาร IM และการจัดทำรายงาน Technical Review ซึ่งคือ รายงานประเมินผลระบบการศึกษาทั้งระบบ และ 2) การจัดทำกรอบการประเมินผลการศึกษาแห่งชาติ ซึ่งจะเป็นกรอบการบูรณาการการประเมินผลการศึกษาและแนวทางการใช้ประโยชน์จากการประเมินผลของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบ ทั้งนี้ สกศ. ยังได้เข้าร่วมโครงการ Education Policy Outlook 2025 โดย OECD ได้กำหนดกรอบการประเมินนโยบายทางการศึกษาของประเทศสมาชิกในหัวข้อ การบ่มเพาะผู้เรียนรู้ตลอดชีวิตที่มีส่วนร่วมและยืดหยุ่น ในโลกที่ขับเคลื่อนด้วยการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล โดยแบ่งการประเมินนโยบายทางการศึกษาที่ส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการบ่มเพาะผู้เรียนในแต่ละช่วงวัย แบ่งออกเป็น 4 ช่วงวัย ดังนี้

1. Early years 

- พ.ร.บ. การพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ. 2562

- นโยบาย 3 ลด 3 เร่ง 3 เพิ่ม เพื่อพัฒนาเด็กปฐมวัยครบวงจร

- การพัฒนามาตรฐานศูนย์พัฒนาเด็กเล็กทั่วประเทศ

2. Early to Mid-Adolescence

- การพัฒนาหลักสูตรฐานสมรรถนะ และการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่น

- โครงการ Coding, STEM, ทักษะชีวิต, การเรียนรู้แบบบูรณาการ

- การประเมินสมรรถนะผู้เรียนรูปแบบต่าง ๆ อาทิ NT, RT, O-NET, PISA

3. Mid-Career

- การส่งเสริมระบบ Credit Bank, การ Reskill/Upskill

- การเรียนรู้นอกระบบและตามอัธยาศัย โดยเฉพาะผ่าน กศน. และ TPQI

- การรับรองคุณวุฒิวิชาชีพ และการเรียนรู้จากประสบการณ์

4. Approaching Retirement

- โครงการโรงเรียนผู้สูงอายุ และการเรียนรู้ด้านสุขภาวะ

- การเรียนรู้เพื่อการมีส่วนร่วมในชุมชน เช่น อาสาสมัคร สื่อดิจิทัลพื้นฐาน

- เชื่อมโยงกับนโยบาย “Active Ageing” และสังคมผู้สูงอายุ

โดยขณะนี้ สกศ. อยู่ในระหว่างการพัฒนากรอบการประเมินผลการศึกษาแห่งชาติ เสมือนเป็น “พิมพ์เขียว (Blueprint)” ในการขับเคลื่อนคุณภาพการศึกษาอย่างยั่งยืน เพื่อเสนอสภาการศึกษาและคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบและนำสู่การปฏิบัติต่อไป

.

ประเด็นที่ 3 บทวิเคราะห์เชิงลึกนโยบายด้านการศึกษาของประเทศชั้นนำในเวทีโลก (Global Policy Insight) โดยเรียนรู้จากประเทศที่ประสบความสำเร็จ 5 ประเทศ คือ สิงคโปร์ มาเลเซีย เยอรมัน ฝรั่งเศส และตุรกี พบว่า

1) สิงคโปร์เป็นประเทศในภูมิภาคอาเซียนที่มีความโดดเด่นในด้านการศึกษาและเทคโนโลยี จึงทำให้สามารถดึงดูดการลงทุน โดยมีการกำหนดเป้าหมาย คือ ผลลัพธ์ที่คาดหวังจากผู้เรียน (สมรรถนะของผู้เรียน) อย่างชัดเจน มีแนวทางการปฏิรูปที่โดดเด่นด้วยการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของวิชาชีพครู 

2) มาเลเซียมุ่งมั่นที่จะพัฒนาให้ประเทศมาเลเซียเป็นศูนย์กลางความเป็นเลิศ ด้านการศึกษาในภูมิภาค มีการวางแผนพัฒนายุทธศาสตร์ด้านการศึกษาอย่างต่อเนื่อง

3) เยอรมนี ระบบการศึกษาออกแบบภายใต้หลักการว่า “การศึกษาเป็นสิทธิพื้นฐาน” 

4) ฝรั่งเศส โดดเด่นในด้านการอุดมศึกษาที่มีคุณภาพสูงและอัตราการเข้าถึงสูง การจัดการศึกษาปฐมวัยที่ครอบคลุม ให้ความสำคัญกับพหุภาษาควบคู่ไปกับการเรียนรู้ การสื่อสาร และการสร้างสรรค์

5) สาธารณรัฐตุรกี เน้นส่งเสริมให้ประชาชนมีความรักในวิทยาศาสตร์ มีทักษะ และมีจริยธรรม

ประเด็นที่ 4 บทวิเคราะห์เชิงลึกงานวิจัยชั้นนำในเวทีโลก (Global Knowledge Insight) โดย สกศ. ได้เห็นความสำคัญต่อองค์ความรู้ใหม่ ๆ จึงได้ริเริ่มโครงการ Global Knowledge Insight: A monthly Research Digest by OEC ที่จะเป็นโครงการที่จะคัดสรรองค์ความรู้ที่เป็นบทความ หรืองานวิจัยที่น่าสนใจ เป็น Hot Issues ในระดับนานาชาติ และทำการย่อยเรื่องดังกล่าวให้เข้าใจง่ายให้สาธารณชนได้รับรู้เดือนละ 1 ประเด็น ตลอดจนรายงานการนำเสนอเทคโนโลยีเกิดใหม่ที่มีแนวโน้มจะเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมในระดับโลก หรือ “Top 10 Emerging Technologies of 2025” โดย World Economic Forum (WEF) ได้แก่ 1) วัสดุโครงสร้างกักเก็บพลังงาน 2) ระบบผลิตไฟฟ้าจากแรงออสโมซิส 3) พลังงานนิวเคลียร์ขั้นสูง 4)  จุลชีพรักษาโรคแบบวิศวกรรม 5) ยาเบาหวานเพื่อรักษาสมองเสื่อม 6) เซ็นเซอร์ชีวภาพอัตโนมัติ 7) การตรึงไนโตรเจนสีเขียว 8)  นาโนเอนไซม์ 9) เครือข่ายเซ็นเซอร์ร่วมเรียนรู้ 10) ลายน้ำดิจิทัลสำหรับเนื้อหาที่สร้างโดย AI ซึ่งมีความเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งกับภาคการศึกษา ทั้งในระดับหลักสูตร ระบบการเรียนรู้ ทักษะที่จำเป็นในอนาคต และบทบาทของครูและโรงเรียนในศตวรรษที่ 21

การศึกษาไทยจึงต้องมีแนวทางต้องดำเนินการ เพื่อไปสู่ระบบนิเวศการเรียนรู้แห่งอนาคตที่มีความยืดหยุ่น เชื่อมโยง และยั่งยืน ดังนี้ 1) เลิกมองเทคโนโลยีเป็นเพียงเครื่องมือ แต่ต้องมองเป็น “พลวัตเชิงระบบ” 2) ออกแบบหลักสูตรและโรงเรียนด้วย “ระบบนิเวศ” ไม่ใช่แค่ “กลุ่มสาระ” 3) สร้างพื้นที่ “ทดลอง” เทคโนโลยีเกิดใหม่ในระบบการศึกษา 4) สร้างกำลังคนเพื่อ “ออกแบบอนาคต” ไม่ใช่แค่ใช้เทคโนโลยี 5) เปลี่ยนบทบาทกระทรวงศึกษาธิการจาก “ผู้ควบคุม” เป็น “ผู้ประสานระบบนิเวศ” 6) ประเมิน “Ecosystem Readiness” ของการศึกษาไทยอย่างเป็นระบบ 7) จัดทำ Transformation Maps ด้านการศึกษา สำหรับการวางแผนการศึกษาไทยในอนาคต

จากนั้นที่ประชุมรับฟังบรรยายพิเศษ เรื่อง ระบบการศึกษาไทยกับอนาคตของเทคโนโลยี: จะสร้างคนไทยให้แข่งขันได้อย่างไร โดย ดร.ศวิต กาสุริยะ ได้เน้นย้ำถึงบทบาทของเทคโนโลยีในการยกระดับการศึกษา โดยกล่าวว่า ความสามารถในการแข่งขันของไทยจะสะท้อนศักยภาพทุนมนุษย์ในปัจจุบัน จากผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย พบว่าในปี 2567 ประเทศไทยมี Competitiveness Ranking ที่ 25 จาก 67 ประเทศ และมีความสามารถในการแข่งขันด้านการศึกษา ที่ 54 จาก 67 เขตเศรษฐกิจ โดยยังอยู่ในระดับเดิมจากปี 2566 การศึกษาไทยจึงต้องปรับเปลี่ยนไปสู่ระบบที่มุ่งเน้นการพัฒนาทักษะแห่งอนาคต เช่น การคิดเชิงวิพากษ์ ทักษะด้าน Coding รวมถึงการนำเทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาใช้ในการเรียนการสอนอย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านการใช้วิทยาศาสตร์ที่เป็นหัวใจสำคัญของนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ บุคลากรมีทักษะศตวรรษที่ 21 ตลอดจนในการแข่งขันระดับโลก เช่น จีน เกาหลีใต้ สิงคโปร์ เป็นต้น มีการลงทุนอย่างมากในระบบการศึกษาวิทยาศาสตร์เพื่อสร้างกำลังคนที่มีสมรรถนะสูง ในการสร้างคนไทยให้แข่งขันได้ในโลกเทคโนโลยี จึงต้องมีแนวทาง ดังนี้ 

1) ปรับแนวทางการเรียนรู้ด้วย Active Learning ให้นักเรียนเรียนรู้โดยการตั้งคำถาม ค้นคว้าด้วยตนเอง และส่งเสริม การเรียนรู้แบบบูรณาการ (STEAM) 

2) พัฒนาครูและทรัพยากร โดยอบรมครูให้ทันต่อเทคโนโลยีใหม่ เช่น AI, IoT, Coding เป็นต้น

3) เปิดโอกาสให้นักเรียนได้แสดงศักยภาพ เช่น การจัดเวทีแข่งขัน/โครงงาน ส่งเสริมนักเรียนทำวิจัยขนาดเล็กตั้งแต่มัธยม

4) เชื่อมโยงโรงเรียน มหาวิทยาลัย และอุตสาหกรรม ด้วยการจัดโครงการร่วมพัฒนานวัตกรรม เปิดโอกาสให้นักเรียนไปฝึกงานหรือเรียนรู้นอกห้องเรียน

.

ทั้งนี้ สกศ. ในฐานะหน่วยงานที่มีบทบาทในการจัดทำนโยบาย แผนการศึกษา และวิเคราะห์สภาวการณ์ทางการศึกษา จะติดตามความเคลื่อนไหวทางการศึกษาและประเด็นร่วมสมัยที่มีผลกระทบต่อการจัดการศึกษาอย่างต่อเนื่อง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

สพฐ. ประชุม ผอ.เขต ร่วมใจช่วยเหลือพื้นที่ประสบภัย พร้อมขับเคลื่อนการศึกษาที่ตอบโจทย์พื้นที่อย่างยั่งยืน

  สพฐ. ประชุม ผอ.เขต ร่วมใจช่วยเหลือพื้นที่ประสบภัย พร้อมขับเคลื่อนการศึกษาที่ตอบโจทย์พื้นที่อย่างยั่งยืน วันที่ 6 สิงหาคม 2568 ว่าที่ร้อยตร...