เมื่อ WHO ใช้นโยบายภาษีสุขภาพแก้วิกฤตงบประมาณด้วยเงินของคนไทย
เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ดร.เทดรอส อัดฮานอม เกเบรเยซัส ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า ประเทศต่างๆ มี “เครื่องมือ” หลายอย่างในการเพิ่มรายได้เพื่อใช้สนับสนุนสุขภาพโลก และเครื่องมืออันดับต้นๆ ที่สามารถนำมาใช้ได้คือ “ภาษีบาป” ซึ่งเป็นภาษีที่รัฐบาลเก็บจากสินค้าหรือบริการที่เห็นว่าเป็นโทษต่อสุขภาพหรือศีลธรรม เช่น บุหรี่ สุรา การพนัน และน้ำตาล โดย WHO ระบุว่ามาตรการนี้จะช่วยลดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังอย่างเบาหวาน มะเร็ง และโรคหัวใจ พร้อมกับช่วยเพิ่มรายได้ให้ประเทศต่างๆ ที่กำลังจะต้องจ่ายเงินสนับสนุน WHO เพิ่มประมาณ 20-25% เพื่อช่วยเหลือ WHO ที่กำลังประสบปัญหางบประมาณลดลงจากการที่ประเทศสมาชิกรายใหญ่ เช่น สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และฝรั่งเศส ถอนตัวออกไป จนทำให้ WHO ต้องลดงบประมาณลงกว่า 21% เหลือ 4,200 ล้านดอลลาร์ในปี 2026-2027
สิ่งที่น่ากังวลคือ จุดยืนของ WHO ในครั้งนี้เปิดเผยอย่างชัดเจนว่าแรงผลักดันเบื้องหลังการเสนอให้เพิ่มภาษีบาปนั้นไม่ใช่เพื่อสุขภาพประชาชนเป็นหลัก แต่เป็นเพราะองค์กรระหว่างประเทศอย่าง WHO กำลังขาดเงินสนับสนุน โดยเฉพาะเมื่อ WHO กำลังเรียกร้องให้ประเทศรายได้ต่ำและปานกลางขึ้นภาษีสินค้าเหล่านี้อีก 50% ภายใน 10 ปีข้างหน้าประเทศไทยเองในฐานะสมาชิกของ WHO และมักเดินตามคำแนะนำของ WHO อย่างเคร่งครัดก็รีบตอบรับแนวคิดนี้ ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอให้ทยอยเพิ่มการจ่ายเงินบำรุงค่าสมาชิก WHO ของไทยเพิ่มขึ้น 20 -27% จากปีงบประมาณปัจจุบัน เริ่มตั้งแต่ปี 2569 จนถึงปี 2574 ซึ่งงบประมาณเหล่านี้ล้วนมาจากภาษีของคนไทย ทั้งๆ ที่ประเทศเองก็ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจและต้องการนำเงินมาใช้จ่ายเพื่อประชาชนคนไทย
แต่ปัจจุบัน ประเทศไทยเก็บภาษีบาปสำหรับบุหรี่และแอลกอฮอล์ในอัตราที่สูงมากอยู่แล้ว หากมีการขึ้นภาษีบาปในระดับสูง จนทำให้ราคาสินค้ากระโดดขึ้นสูงตามไปด้วย เป็นการผลักให้ผู้บริโภคหันไปหาสินค้าในตลาดมืดหรือตลาดของเถื่อนใต้ดิน ที่มีราคาถูกกว่ามาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของบุหรี่ ซึ่งไม่ได้ช่วยสนับสนุนเป้าหมายการลดจำนวนผู้สูบบุหรี่แต่อย่างใด
สอดคล้องกับข้อมูลจากรายงานฉบับล่าสุดของ WHO ซึ่งเปิดเผยในงาน World Conference of Tobacco Control เมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาระบุว่า แม้จะมีการดำเนินนโยบายควบคุมยาสูบตามกรอบ WHO FCTC มานานกว่า 20 ปีภายใต้แนวทาง MPOWER แต่ก็ยังมีผู้เสียชีวิตจากการสูบบุหรี่กว่า 7 ล้านคนต่อปีทั่วโลก และยังมีผู้สูบบุหรี่กว่า 1.33 พันล้านคน เนื่องจาก WHO ยังคงยึดติดกับแนวทางเดิม ๆ เช่น การขึ้นภาษียาสูบ การกำหนดการข้อความและภาพคำเตือนด้านสุขภาพ แต่กลับไม่ให้ความสำคัญกับความท้าทายใหม่ ๆ เช่น เรื่องของบุหรี่ไฟฟ้า ทำให้ปัจจุบัน สมาชิกประมาณ 60 ประเทศไม่มีแม้แต่กฎหมายควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า
เช่นเดียวกับประเทศไทย ที่ปฏิบัติตามแนวทางของ WHO FCTC อย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด แต่จำนวนผู้สูบบุหรี่ก็ยังไม่ลดลง เรายังคงมีผู้สูบบุหรี่ในประเทศประมาณ 9.8 ล้านคน หรือลดลงจากเมื่อ 3 ปีก่อนหน้าเพียง 1 แสนคนเท่านั้น ขณะเดียวกัน มีการใช้เพิ่มขึ้นจาก 8 หมื่นคน เป็น 9 แสนคน หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 12 เท่าตัว
การเติบโตอย่างรวดเร็วของบุหรี่ไฟฟ้าเป็นปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยที่มีการแบนบุหรี่ไฟฟ้าด้วย แต่กลับไม่ได้รับการตอบสนองด้วยนโยบายที่เหมาะสมจาก WHO และภาครัฐของไทยแต่อย่างใด
เรื่องนี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการดำเนินมาตรการตามนโยบายของ WHO อย่างเคร่งครัดกลับไม่ได้ส่งผลกระทบเชิงบวกกับประเทศไทย เพราะบริบทและสภาพแวดล้อมมีความแตกต่างกัน ดังนั้น สิ่งที่เราควรทำคือการหาแนวทางที่สมดุลทั้งในแง่การเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้สูบบุหรี่ การออกมาตรการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบทุกประเภทให้เหมาะสม และใช้มาตรการภาษีอย่างมีความรับผิดชอบ
ที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฏรหลายรัฐบาลเคยศึกษาผลดี-ผลเสียของการแบนบุหรี่ไฟฟ้า และเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหน่วยงานสาธารณสุข หน่วยงานจัดเก็บภาษี นักวิชาการ มาให้ข้อมูลครบทุกมิติ และมีข้อเสนอจากให้ทบทวนแนวทางควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าใหม่แทนการแบน เพราะการกำหนดให้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าผิดกฎหมาย ทำให้ควบคุมยาก และยิ่งระบาดหนักในกลุ่มเยาวชนจนเป็นที่กังวล
ตรงนี้น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่ประเทศไทยจะเดินหน้าหาแนวทางใหม่เพื่อแก้วิกฤติบุหรี่ไฟฟ้า แทนที่จะเดินตาม WHO เพียงอย่างเดียว แล้วปล่อยให้ปัญหาสุขภาพจากบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าในบ้านคาราคาซังจนแก้ไม่จบเสียที
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น