วันอังคารที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2568

กระชากหน้ากาก “ธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้า”รู้เท่าทันกลยุทธ์ ป้องกันการแทรกแซงนโยบายรัฐด้วย 5 มาตรการ ปกป้องเด็กจากบุหรี่ไฟฟ้า ที่ ครม.อนุมัติ เมื่อ 20 พค. 68

 กระชากหน้ากาก “ธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้า”รู้เท่าทันกลยุทธ์ ป้องกันการแทรกแซงนโยบายรัฐด้วย 5 มาตรการ ปกป้องเด็กจากบุหรี่ไฟฟ้า ที่ ครม.อนุมัติ เมื่อ 20 พค. 68

วันที่ 5 ส.ค. 2568 ที่ โรงแรมแกรนด์ริชมอนด์ ผศ.ดร.นพ.วิชช์ เกษมทรัพย์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับ 23 ภาคีเครือข่าย และ 9 เครือข่ายเยาวชน สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดการประชุมวิชาการบุหรี่และสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 23 “กระชากหน้ากากธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้า : คนรุ่นใหม่รู้เท่าทันกลยุทธ์” โดยมี คุณจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีให้เกียรติเปิดการประชุม


ด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และงานวิจัยถึงผลกระทบต่อสุขภาพจากการสูบบุหรี่ไฟฟ้า ล้วนสรุปไปในทิศทางเดียวกันว่า นิโคตินในบุหรี่ไฟฟ้าอันตรายต่อทุกระบบของร่างกายทั้งในผู้ใหญ่และเด็ก โดยเฉพาะต่อสมองที่กำลังพัฒนาของเด็กและเยาวชน ส่งผลเสียต่อการเรียนรู้ การคิดวิเคราะห์ ความจำ สมาธิ และการควบคุมอารมณ์ อีกทั้งไอระเหยบุหรี่ไฟฟ้ามีผลกระทบต่อบุคคลรอบข้างที่ไม่สูบ ทั้งบุหรี่มือสองและมือสาม ซึ่งนิโคตินในน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้ายังเป็นนิโคตินสังเคราะห์ที่แก้จุดอ่อนของนิโคตินธรรมชาติในบุหรี่มวน คือ ไม่ระคายเคืองคอ ดูดซึมได้ง่ายและเร็วกว่า สามารถปรับระดับนิโคตินเพิ่มสูงขึ้นเป็น 100 เท่าของบุหรี่มวน ทำให้เกิดปอดอักเสบรุนแรงเฉียบพลัน (EVALI) อาจจะต้องใส่ท่อช่วยหายใจ เนื่องจากปอดจะถูกทำลายจากการอักเสบที่รุนแรงอันตรายถึงชีวิตได้  จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่สังคมจะต้องรู้เท่าทันพิษภัยและกลยุทธ์ของธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้า” เพื่อปกป้องเด็กและเยาวชนไทย นพ.วิชช์ กล่าว

นพ.อภิชาติ รอดสม รองเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช,) กล่าวว่า จากการระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าลงมาถึงเด็กเล็ก คสช. จึงแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนานโยบายบุหรี่ไฟฟ้า เมื่อ ธค. 2566 ซึ่งได้จัดการประชุมรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ ร่วมกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง จนได้ข้อสรุป และ คสช.ได้นำเสนอต่อ คณะรัฐมนตรี (ครม.) และมีมติรับทราบ เห็นชอบมาตรการการป้องกันเด็กและเยาวชนจากบุหรี่ไฟฟ้า และควบคุมการแพร่ระบาดบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย 5 มาตรการ เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2568  ประกอบด้วย มาตรการที่ 1) พัฒนาและจัดการองค์ความรู้  2) สร้างการรับรู้ภยันตรายและการเสพติดของบุหรี่ไฟฟ้าแก่เด็ก เยาวชน และสาธารณชน 3) เฝ้าระวังและบังคับใช้กฎหมายควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า 4) พัฒนาศักยภาพภาคีเครือข่าย เพื่อสนับสนุนมาตรการป้องกัน ควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า และ 5) ยืนยันนโยบายห้ามนำเข้าและจำหน่ายไฟฟ้า โดยที่คำนึงถึงพันธสัญญาที่ประเทศไทยได้ร่วมเป็นสมาชิก และต้องดำเนินการตามกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์กรสหประชาชาติ และพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 พร้อมทั้งมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ซึ่งในการจัดประชุมวิชาการครั้งนี้ ได้นำเข้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในมาตรการทั้ง 5 มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และขยายผลต่อไป

นพ.วันชาติ ศุภจัตุรัส ผู้อำนวยการสำนักงานสมาพันธ์เครือข่ายแห่งชาติเพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่ กล่าวว่า การแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทยเป็นไปอย่างรวดเร็ว โดยข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่าเมื่อปี 2564 คนไทยสูบบุหรี่ไฟฟ้า 78,742 คน แต่ในปี 2567 เพิ่มเป็น 900,459 คน หรือเพิ่มมากถึง 11.44 เท่า และได้แพร่ระบาดไปถึงกลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี เพิ่มมากขึ้น ซึ่งธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้าทำการตลาดแบบมุ่งเป้าไปยังเด็กและเยาวชน เพื่อสร้างลูกค้าถาวรระยะยาว มีการออกแบบรูปลักษณ์ สีสัน กลิ่น รส ที่หลากหลายรูปแบบ เพื่อดึงดูดใจ เช่น Toy Pod กล่องนม รวมถึงการใช้การโฆษณาและขายทางสื่อต่างๆ ทาง social media และ influencer ที่เป็นที่นิยมของวัยรุ่น โดยให้ข้อมูลผิดๆ พร้อมทั้งสร้างข่าวเท็จออกมาหลอกลวงให้หลงเชื่อ ว่า บุหรี่ไฟฟ้าปลอดภัยไม่มีสารพิษ 

ทั้งนี้เครือข่ายวิชาชีพสุขภาพเพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่ และสมาพันธ์เครือข่ายแห่งชาติเพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่ ได้ใช้ความพยายามอย่างมากในการดำเนินการปกป้องเยาวชน ผ่านโครงการต่างๆ อาทิ บ้านปลอดบุหรี่ วัดปลอดบุหรี่ มหาวิทยาลัยปลอดบุหรี่ สถานประกอบกิจการ/โรงงานปลอดบุหรี่ สมาพันธ์จังหวัดปลอดบุหรี่ และคลินิกเลิกบุหรี่ (คลินิกฟ้าใส) รวมทั้งได้ร่วมกับทุกเครือข่ายนำข้อเสนอแนะ 'คนไทยไม่เอาบุหรี่ไฟฟ้า เสนอประธานรัฐสภาและพรรคการเมือง เมื่อ 8 ธค. 67 ที่ลานคนเมือง มีประชาชนร่วมลงชื่อไม่เอาบุหรี่ไฟฟ้า 609,884 รายชื่อ แต่เราก็มีความสามารถเพียงช่วยลดความต้องการ (Demand-side) เท่านั้น แต่ด้านการตลาดและการเข้าถึง (Supply-side) คงต้องอาศัยศักยภาพของหน่วยงานภาครัฐ ในการที่จะเอาจริงเอาจังกับการควบคุมให้เป็นไปตามกฎหมายห้ามนำเข้าและห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า ให้เห็นผลชัดเจน” นพ.วันชาติ กล่าว

ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ ประธานมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวว่า มูลนิธิฯ ร่วมกับทุกเครือข่ายรณรงค์ควบคุมยาสูบ และสามารถลดอัตราการสูบบุหรี่ ได้ร้อยละ 48.8 ใน 32 ปี จากปี 2532 แต่ยังมีผู้สูบบุหรี่อีก 9.8 ล้านคน และเยาวชนที่สูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ มูลนิธิฯ จึงได้จัดทำโครงการ รร.ปลอดบุหรี่ เยาวชน Gen Z และอปท.ปลอดบุหรี่ ผลักดันให้ขึ้นภาษีสรรพสามิต  ปรับปรุงบรรจุภัณฑ์ให้มีภาพและคำแนะนำ พร้อมกับเปิดโปงการแทรกแซงนโยบายสาธารณะของภาคอุตสาหกรรม ซึ่งประเทศต่างๆ รายงานตรงกันว่า การแทรกแซงนโยบายของบริษัทบุหรี่ เป็นอุปสรรคสำคัญที่สุดในการปฏิบัติตาม มาตรา 5.3 ของ WHO FCTC จึงกำหนดให้ประเทศภาคี ป้องกันการแทรกแซงนโยบายโดยบริษัทบุหรี่หรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ด้วยการห้ามผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทบุหรี่ เข้าร่วมเป็นกรรมการหรือที่ปรึกษา ในคณะกรรมการที่พิจารณาหรือกำหนดนโยบายควบคุมยาสูบ “ซึ่งที่ผ่านมาประเทศไทยมีพรรคการเมืองเสนอให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทบุหรี่ เข้าเป็นกรรมาธิการวิสามัญ และที่ปรึกษากรรมาธิการที่พิจารณานโยบายควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า ในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น เพราะจะทำให้รายงานของคณะกรรมาธิการขาดความน่าเชื่อถือ จึงขอให้สภาฯ ได้มีการออกข้อบังคับไม่ให้มีการตั้งผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทบุหรี่เข้ามาเป็นกรรมการหรือที่ปรึกษาในกิจการใดๆ ที่เกี่ยวกับการพิจารณานโยบายควบคุมยาสูบอีกในอนาคต

นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)  กล่าวว่า บุหรี่ไฟฟ้าไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสุขภาพเท่านั้น แต่ธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้ายังพยายามทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าเป็นสิ่งที่ไม่เป็นอันตราย หรือเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ในสังคม ข้อมูลจากระบบ OBEC CARE ปี 2567 สำรวจโดยกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และ สสส. ได้สำรวจเด็กนักเรียนระดับ ป.1-ม.6 รวม 124,606 คน จากโรงเรียน 1,699 แห่ง ใน 30 เขตพื้นที่การศึกษา พบนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นสูบบุหรี่ไฟฟ้ามากกว่าบุหรี่มวน โดยกลุ่มตัวอย่างทั้งหมดเคยทดลองสูบบุหรี่ไฟฟ้า 24.7% คบเพื่อนที่สูบบุหรี่ไฟฟ้า 22.01% และอาศัยในชุมชนที่มีผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้าให้เห็นเป็นประจำ 20.2% สะท้อนว่าพฤติกรรมเสี่ยงไม่ได้เกิดจากตัวเด็กเพียงลำพัง แต่เกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมทางสังคม และหากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม 

สสส. จึงได้สานพลังร่วมกับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน ขับเคลื่อนการควบคุมยาสูบทั้งในส่วนกลางและท้องถิ่น และสื่อสารข้อเท็จจริงที่ถูกต้องเกี่ยวกับบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า พร้อมทั้งส่งเสริมการสร้างภูมิคุ้มกันทางสังคม มุ่งหวังให้เกิดการเปลี่ยนผ่านทัศนคติเชิงบวก (Denormalization) จากการ ‘ห้ามใช้’ ไปสู่การที่เด็กและเยาวชน ‘ไม่อยากใช้’ ด้วยตนเอง  และยังมุ่งเน้นการส่งเสริมบทบาทครอบครัว โรงเรียน และชุมชน ให้ร่วมกันเป็นพลังปกป้องเด็กและเยาวชน ทั้งนี้ เชิญชวนทุกภาคส่วน ร่วมกันสร้างสังคมไทยที่ปลอดภัยจากบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า เพื่อให้เด็กและเยาวชนไทยเติบโตอย่างมีสุขภาวะ” ผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าว

พญ.โอลิเวีย ไนเวรัส ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขอาวุโส องค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย เสริมว่า ธุรกิจบุหรี่พยายามเข้ามาแทรกแซงนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพอย่างต่อเนื่องโดยการคัดค้านการห้ามนำเข้าและห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย องค์การอนามัยโลก จึงมีคำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก 31 พค. 2568 ว่า “Unmasking the Appeal” หรือ กระชากหน้ากากธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้า ดังนั้น จึงสนับสนุนรัฐบาลไทยในการคงไว้ซึ่งนโยบายที่สำคัญนี้ ซึ่งเป็นนโยบายที่อิงหลักฐานเชิงประจักษ์และสอดคล้องกับกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก (WHO FCTC) ที่ประเทศไทยได้ร่วมลงนามรับรอง ตั้งแต่ปี 2546 ซึ่งมาตรา 5.3 ของอนุสัญญาฯ เรียกร้องให้ประเทศภาคีปกป้องนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพจากการแทรกแซงของธุรกิจบุหรี่ ดังนั้นองค์การอนามัยโลกขอเรียกร้องให้ทุกภาคส่วนมีความตระหนักถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการแทรกแซงของธุรกิจบุหรี่ และดำเนินการตามข้อแนะนำของมาตรา 5.3 อย่างเข้มแข็ง เพื่อป้องกันการแทรกแซงนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าเพื่อสุขภาพและอนาคตของทุกคนในสังคม

นพ.ทศพร เสรีรักษ์ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร เปิดใจว่าเราตระหนักดีถึงถึงภัยร้ายของบุหรี่ไฟฟ้า โดยเฉพาะเมื่อได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม กรณีเกิด EVALI หรือปอดหายในเด็กประถมและมัธยมที่บุรีรัมย์ เหตุการณ์นี้กระตุ้นให้เกิดข่าวดีที่ 1 คือ รัฐบาลโดยการนำของนายกรัฐมนตรีแพรทองธาร ได้ประกาศปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าให้สิ้นซาก จากนโยบาย รัฐมนตรีจิราพร สินธุไพร ได้นำมาสู่การปฎิบัติโดยมีการปราบปรามอย่างจริงจัง จนสามารถจับกุมได้มากใน 1 เดือน ได้เท่ากับปี 2567 ทั้งปี ข่าวดีที่ 2 คือ ครม. รับมติ 5 มาตรการ ของ คสช. และมอบหมายให้หน่วยงานรับไปปฎิบัติให้เป็นรูปธรรม 

ขอยืนยันว่ารัฐบาลพร้อมปกป้องเด็กและเยาวชนจากบุหรี่ไฟฟ้าด้วย มาตรการ ทั้ง 5 ของคสช. โดยเฉพาะมาตรการที่5 จะคงไว้ซึ่งการห้ามการนำเข้า/จำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า จะเร่งปราบปรามอย่างเคร่งครัด และจะร่วมงานกับองค์กรอิสระ ทั้ง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) มาร่วมกันป้องกันการแทรกแซงนโยบายสาธารณะจากภาคธุรกิจยาสูบ สำหรับประเด็นการแทรกแซงนโยบายรัฐของธุรกิจบุหรี่ที่พยายามผลักดันให้บุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมาย เป็นประเด็นสำคัญที่กรรมาธิการการสาธารณสุขจะร่วมกับทุกภาคส่วนคัดค้านและหาทางป้องกันถึงที่สุด เพื่อปกป้องเด็กไทยจากบุหรี่ไฟฟ้า เพราะเด็กคืออนาคตของชาติไทย”


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เมื่อ WHO ใช้นโยบายภาษีสุขภาพแก้วิกฤตงบประมาณด้วยเงินของคนไทย

  เมื่อ WHO ใช้นโยบายภาษีสุขภาพแก้วิกฤตงบประมาณด้วยเงินของคนไทย เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา  ดร.เทดรอส อัดฮานอม เกเบรเยซัส ผู้อำนวยการใหญ่องค์การ...