วันเสาร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2568

สทนช. รุกลงพื้นที่ประชุมศูนย์ฯ ส่วนหน้าลุ่มน้ำโขงอีสาน ผนวกลุ่มน้ำชี เตรียมพร้อมรับฝน-พายุปลาย ก.ย. ปรับแผนเข้มป้องกันน้ำชนน้ำที่อุบลราชธานี

 สทนช. รุกลงพื้นที่ประชุมศูนย์ฯ ส่วนหน้าลุ่มน้ำโขงอีสาน ผนวกลุ่มน้ำชี เตรียมพร้อมรับฝน-พายุปลาย ก.ย. ปรับแผนเข้มป้องกันน้ำชนน้ำที่อุบลราชธานี 


สทนช. รุกลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำลุ่มน้ำโขงอีสาน ลุ่มน้ำชี เร่งประชุมศูนย์ฯ ส่วนหน้า หลังประเมินพายุ “รากาซา” อาจกระทบอีสาน สั่งเร่งพร่องน้ำในอ่างฯ เพิ่มพื้นที่รับฝนระรอกใหม่ พร้อมจัดจราจรน้ำอย่างรัดกุม ป้องกันมวลน้ำระบายจากอ่างฯ น้ำท่า และน้ำฝนไหลรวมกันที่อุบลราชธานี




วันนี้ (20 กันยายน 2568) ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นประธานการประชุมศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือ ครั้งที่ 6/2568 โดยมี ผู้แทนจังหวัดในพื้นที่ และผู้ทรงคุณวุฒิในพื้นที่ลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือ และลุ่มน้ำชี รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม ณ ห้องประชุมอาคารประชาสัมพันธ์ เขื่อนอุบลรัตน์ อำเภออุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น และผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ จากนั้น เลขาธิการ สทนช. และคณะได้ลงติดตามสถานการณ์น้ำในพื้นที่ลุ่มต่ำบ้านดอนสนวน อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ เพื่อสำรวจผลกระทบพื้นที่ท้ายน้ำจากการระบายน้ำเขื่อนลำปาว ซึ่งจะได้วางแผนพัฒนาพื้นที่เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำเขื่อนลำปาวในอนาคต






เลขาธิการ สทนช. เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า การประชุมในวันนี้สืบเนื่องจากกรมอุตุนิยมวิทยาร่วมกับสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) ได้ติดตามและประเมินสถานการณ์ฝนมาอย่างต่อเนื่อง โดยพบว่าระหว่างวันที่ 22 – 30 กันยายน 2568 มีแนวโน้มจะมีฝนเพิ่มมากขึ้นในหลายพื้นที่ เนื่องจากอิทธิพลของพายุโซนร้อน“มิแทก” (Mitag) ที่กำลังสลายตัว และพายุโซนร้อน “รากาซา” (Ragasa) ซึ่งในเช้าวันนี้ได้ทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อนกำลังแรง ศูนย์กลางยังอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก คาดว่าจะแรงขึ้นเป็นพายุไต้ฝุ่น ก่อนจะเคลื่อนตัวทางตะวันตกลงสู่ทะเลจีนใต้ตอนบนในช่วงวันที่ 25 กันยายน 2568 โดยมีลักษณะการเคลื่อนตัวคล้ายกับพายุ “วิภา” และ 

คาจิกิ"จะส่งผลให้เกิดร่องมรสุมพาดผ่านบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลาง และภาคตะวันออก ทำให้มีปริมาณฝนเพิ่มขึ้นในพื้นที่ดังกล่าวโดยเฉพาะ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนและตามชายขอบของประเทศ ในขณะที่พื้นที่ตอนล่างของภาคตะวันออกเฉียงเหนือก็จะยังคงมีฝนต่อเนื่องด้วย จึงต้องมีการเตรียมการรับมือสถานการณ์ดังกล่าว







ที่ประชุมจึงได้ร่วมกันประเมินสถานการณ์และแนวทางการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ ลุ่มน้ำชี และลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือ โดยสถานการณ์ลุ่มน้ำชี ขณะนี้ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่หลายแห่งค่อนข้างมาก ได้แก่ อ่างฯ อุบลรัตน์มีปริมาณน้ำ 78% ของความจุเก็บกัก อ่างฯ จุฬาภรณ์มีปริมาณน้ำ 76% ของความจุเก็บกัก และอ่างฯ ลำปาวมีปริมาณน้ำ 76% ของความจุเก็บกัก ในขณะที่ปริมาณน้ำในลำน้ำต่าง ๆ ของลุ่มน้ำชีในวันนี้ยังไม่สูงมากนัก ยังสามารถพร่องระบายน้ำจากอ่างฯ ต่างๆ ได้อีก  ที่ประชุมจึงได้มีมติให้ สทนช. ภาค 3 ในฐานะฝ่ายเลขานุการฯ เสนอต่อคณะกรรมการลุ่มน้ำชี เพื่อพิจารณาปรับแผนการระบายน้ำอ่างฯ อุบลรัตน์ จากเดิมระบายน้ำไม่เกิน 25 ล้านลูกบาศก์เมตร (ล้าน ลบ.ม.) ต่อวัน เป็นระบายน้ำไม่เกิน 35 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน เพื่อให้การบริหารจัดการมีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยให้ดำเนินการแบบขั้นบันได ซึ่งจะต้องมีการประเมินผลกระทบด้านท้ายน้ำอย่างต่อเนื่อง และสอดรับกับสถานการณ์ฝนและปริมาณน้ำในพื้นที่ สำหรับอ่างฯ ลำปาว ปัจจุบันได้ระบายน้ำในอัตราสูงสุดวันละ 13 ล้าน ลบ.ม. ต่อวันแล้ว ที่ประชุมจึงมีมติให้ปรับลดการระบายน้ำลงในช่วงเดือนตุลาคม เพื่อช่วยชะลอมวลน้ำไม่ให้ไหลไปรวมกันที่จังหวัดอุบลราชธานีในเวลาเดียวกัน


เลขาธิการ สทนช. กล่าวต่อว่า สำหรับสถานการณ์ลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือ ปัจจุบันแหล่งน้ำต่าง ๆ มีปริมาณน้ำจำนวนมากเช่นกัน ได้แก่ อ่างฯ ห้วยหลวงมีปริมาณน้ำ 90% ของความจุเก็บกัก อ่างฯ น้ำอูนมีปริมาณน้ำ 90% ของความจุเก็บกัก อ่างฯ น้ำพุงมีปริมาณน้ำ 63% ของความจุเก็บกัก และหนองหารมีปริมาณน้ำ 85% ของความจุเก็บกัก ซึ่งแต่ละอ่างฯ มีแนวโน้มปริมาณน้ำมากเกินความจุเก็บกักได้ ดังนั้น เพื่อเป็นการรักษาความปลอดภัยของอ่างฯ และเพิ่มพื้นที่รองรับปริมาณฝนที่คาดว่าจะมาเพิ่ม ที่ประชุมได้มีมติให้กรมชลประทานเร่งระบายน้ำดำเนินการ ดังนี้ อ่างฯ ห้วยหลวง ให้ปรับแผนเพิ่มการระบายน้ำให้เต็มศักยภาพโดยต้องไม่เกิดผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายน้ำ อ่างฯ น้ำอูน ให้เร่งดำเนินการติดตั้งอุปกรณ์ช่วยเร่งระบายน้ำ (กาลักน้ำ) และที่หนองหารให้เร่งรัดเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำในพื้นที่คอขวดท้ายหนองหารที่ไม่สามารถระบายน้ำได้เต็มศักยภาพ พร้อมติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพิ่มเติมที่ประตูระบายน้ำหนองบึงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ






ในช่วงวันที่ 20 –24 กันยายน 2568 ถือเป็นจังหวะที่ปริมาณฝนและปริมาณน้ำในแต่ละพื้นที่ยังไม่มาก ประกอบกับคาดการณ์ว่าระดับน้ำในแม่น้ำโขงยังคงต่ำกว่าตลิ่ง ทุกหน่วยงานจึงต้องเร่งระบายน้ำให้ออกจากพื้นที่ให้ได้มากที่สุด  แต่จะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่จะไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายน้ำ และบริหารจัดการให้สอดรับกับสถานการณ์ฝนและปริมาณน้ำในแต่ละพื้นที่ด้วย เพื่อให้ประชาชนได้รับผลกระทบน้อยที่สุด” เลขาธิการ สทนช.กล่าวในตอนท้าย 


สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ

20 กันยายน 2568


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

สคส. จี้บริษัทเคลียร์ให้ชัด แจงประชาชนระวัง “สแกนม่านตา” ย้อนกลับ ระบุตัวบุคคลได้

  สคส. จี้บริษัทเคลียร์ให้ชัด แจงประชาชนระวัง “สแกนม่านตา” ย้อนกลับ ระบุตัวบุคคลได้   สคส. ย้ำ “ ข้อมูลม่านตาคือข้อมูลอ่อนไหว ” ต้องโปร่งใส–...