กรมส่งเสริมสหกรณ์เตรียมชงรัฐบาลของบกลางสมทบกองทุนพัฒนาสหกรณ์เพิ่มอีก 1,000 ล้านบาท ปี 2569 ตั้งเป้าปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำ 5,100 ล้านบาท ให้สหกรณ์ใช้รวบรวมผลผลิตและพยุงราคาสินค้าเกษตร
กรมส่งเสริมสหกรณ์เตรียมเสนอรัฐบาลของบกลางเพื่อสมทบเข้ากองทุนพัฒนาสหกรณ์เพิ่มอีก 1,000 ล้านบาท หวังให้สหกรณ์ใช้รวบรวมผลผลิตจากเกษตรกรและพยุงราคาเพื่อรักษาเสถียรภาพสินค้าเกษตร พร้อมเผยปี 2569 จัดสรรวงเงินกู้จากกองทุนพัฒนาสหกรณ์ไว้5,100 ล้านบาท ให้สหกรณ์ใช้หมุนเวียนรับซื้อผลผลิตและปล่อยกู้สมาชิกเพื่อประกอบอาชีพสร้างรายได้และแก้ไขปัญหาหนี้สินให้เกษตรกร
นายนิรันดร์ มูลธิดา อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาสหกรณ์ เปิดเผยว่า กองทุนพัฒนาสหกรณ์ (กพส.) เป็นกลไกสำคัญในการเสริมสภาพคล่องและสนับสนุนการดำเนินธุรกิจของสหกรณ์ทั่วประเทศ โดยทำหน้าที่เป็นแหล่งเงินทุนเพื่อให้สหกรณ์นำไปบริหารธุรกิจด้านการเกษตร ทั้งการรวบรวมผลผลิตจากเกษตรกร การจัดหาเครื่องมือเพื่อการแปรรูป และนำไปให้บริการสมาชิกกู้ยืมเพื่อทำอาชีพการเกษตร ปีงบประมาณ 2569 ได้จัดสรรวงเงินไว้ 5,100 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการปกติ จำนวน 3,060 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ยตามชั้นลูกหนี้ กพส. ตั้งแต่ 1.5-4 % หรือเฉลี่ย 2.05% โดยเป็นการนำเงินให้สมาชิกกู้ยืมเป็นเงินทุน การจัดหาสินค้ามาจำหน่าย รวบรวมและแปรรูปผลผลิต หรือลงทุนในทรัพย์สินและวงเงินโครงการพิเศษ จำนวน 2,040 ล้านบาท เพื่อขับเคลื่อนนโยบายสำคัญของรัฐบาลและหน่วยงาน อัตราดอกเบี้ยต่ำ 0-1% เช่น การให้เงินกู้ปลอดดอกเบี้ย ในโครงการสนับสนุนเงินกู้แก่สหกรณ์ที่ประสบสาธารณภัย ช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนของสมาชิกในการฟื้นฟูอาชีพ
ทั้งนี้ เป้าหมายของกองทุนพัฒนาสหกรณ์ คือการเป็นแหล่งเงินทุนให้สหกรณ์ไปทำธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการให้บริการสมาชิกสหกรณ์ทุกประเภท ทั้งการให้สินเชื่อแก่สหกรณ์เพื่อดำเนินธุรกิจต่าง ๆ รวมถึงเป็นทุนหมุนเวียนในการให้เงินกู้แก่สมาชิก การรวบรวมผลผลิต และการจัดหาสินค้ามาจำหน่าย โดยมีเป้าหมายในการส่งเสริมปริมาณธุรกิจสหกรณ์ให้เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 3% การฟื้นฟูสหกรณ์ที่ขาดทุนสะสมให้มีกำไรเพิ่มขึ้น 25% และพัฒนาความเข้มแข็งของสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกร ให้มีความเข้มแข็งเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ซึ่งผลการดำเนินงานในปี 2566 - 2568 พบว่ากองทุนพัฒนาสหกรณ์ (กพส.) ได้อนุมัติเงินกู้ให้แก่สหกรณ์ปีละกว่า 1,700 แห่ง เฉลี่ยประมาณ 2.45 ล้านบาท/สหกรณ์ ส่งผลให้สหกรณ์มีปริมาณธุรกิจเพิ่มขึ้นมูลค่ากว่า 22,000 ล้านบาท/ปี ช่วยลดต้นทุนจากการกู้ยืมแหล่งเงินทุนอื่น ๆ คิดเป็นมูลค่า 207 ล้านบาท/ปี มีสมาชิกได้รับประโยชน์รวมกว่า 300,000 คน/ปี สำหรับปี 2568 ได้กำหนดกรอบวงเงินกู้รวม 5,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการปกติ 3,000 ล้านบาท และโครงการพิเศษ 2,000 ล้านบาท จำนวน 18 โครงการ โดยมีผลการอนุมัติและเบิกจ่ายแล้วกว่า 97.99% ของกรอบวงเงินทั้งหมด สะท้อนถึงบทบาทเชิงรุกของกองทุนพัฒนาสหกรณ์ ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากผ่านระบบสหกรณ์ไทยอย่างเป็นรูปธรรม
“สำหรับในปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 กองทุนพัฒนาสหกรณ์ได้กำหนดกรอบวงเงินให้กู้ยืมจำนวน 5,100 ล้านบาท เพื่อส่งเสริมและสานต่อการพัฒนาสหกรณ์ให้มีความเข้มแข็ง โดยมุ่งเน้นสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนแก่สหกรณ์ทุกระดับ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจและสร้างรายได้แก่สมาชิก โดยดำเนินการผ่าน18 โครงการพิเศษ ครอบคลุมการพัฒนาทั้งภาคเกษตรและนอกภาคเกษตร เช่น การแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินของเกษตรกร และการพัฒนาในพื้นที่โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ การส่งเสริมสหกรณ์ด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม พลังงานสะอาด (EV) และการตลาดสมัยใหม่ การยกระดับการผลิตสินค้าเกษตรสำคัญ เช่น โคเนื้อ กาแฟ น้ำนมดิบ เมล็ดพันธุ์ และผลไม้คุณภาพ การสนับสนุนอาชีพสมาชิกสหกรณ์นอกภาคเกษตร การพัฒนาเครือข่ายธุรกิจ และการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของสหกรณ์ ตลอดจนการช่วยเหลือสหกรณ์ที่ประสบปัญหาการดำเนินงาน ประสบสาธารณภัย หรือได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ โดยทุกโครงการกำหนดอัตราดอกเบี้ยต่ำเพียง 1% ต่อปี เพื่อเสริมสภาพคล่อง ยกระดับศักยภาพทางเศรษฐกิจของสหกรณ์ และขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของประเทศอย่างยั่งยืน” อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าว
นอกจากนี้ กรมส่งเสริมสหกรณ์เตรียมเสนอโครงการเพื่อของบกลางจากรัฐบาลเพื่อสมทบเข้ากองทุนพัฒนาสหกรณ์อีก 1,000 ล้านบาท เพื่อเสริมสภาพคล่องและมีเงินทุนที่คิดอัตราดอกเบี้ยต่ำเพียงพอสำหรับให้สหกรณ์กู้ยืมไปรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรในช่วงฤดูกาลที่ผลผลิตออกมาพร้อมกันจำนวนมาก ทั้งข้าว ผลไม้ ยางพารา ปาล์มน้ำมัน มันสำปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และสินค้าเกษตรเศรษฐกิจที่สำคัญ เพื่อเก็บชะลอไว้ รอเวลาที่เหมาะสมก่อนจะจำหน่ายสู่ตลาด หรือนำไปแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิต ซึ่งจะเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรในการพยุงราคาและรักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตรภายในประเทศได้อีกทางหนึ่ง










ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น