วันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

อธิบดีกรมพัฒน์ เปิดฝึกอบรมการใช้เทคโนโลยี เพิ่มศักยภาพและรายได้ให้คนพิการนนทบุรี

 อธิบดีกรมพัฒน์ เปิดฝึกอบรมการใช้เทคโนโลยี เพิ่มศักยภาพและรายได้ให้คนพิการนนทบุรี

วันที่ 31 พฤษภาคม 2568 นายเดชา พฤกษ์พัฒนรักษ์ อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เป็นประธานเปิดฝึกอบรมของสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 26 นนทบุรี ในหลักสูตรการใช้เทคโนโลยีสร้างสรรค์เพื่อเพิ่มศักยภาพและสร้างรายได้สำหรับคนพิการ มีประธานมูลนิธิส่งเสริมและพัฒนาคนพิการ นายกสมาคมแพทย์แผนไทย พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จังหวัดนนทบุรี  หัวหน้าส่วนราชการสังกัดกระทรวงแรงงานในจังหวัดนนทบุรี ร่วมพิธี ณ มูลนิธิส่งเสริมและพัฒนาคนพิการ ปากเกร็ด นนทบุรี 







นายเดชา พฤกษ์พัฒนรักษ์ อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน  เผยว่า สถานการณ์การขาดแคลนแรงงานคนพิการเป็นปัญหาที่ซับซ้อนและมีผลกระทบต่อทั้งคนพิการและสังคม เนื่องจากมีการเลือกปฏิบัติ อคติ และขาดโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาและการฝึกอบรม ทำให้คนพิการมีจำนวนน้อยที่สามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานได้ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน มีภารกิจในการพัฒนาศักยภาพแรงงานทุกเพศ ทุกวัย จึงมีโครงการเพิ่มทักษะแรงงานอิสระ และกลุ่มเป้าหมายเฉพาะเพื่อเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพ ขึ้น โดยในวันนี้ทางสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 26 นนทบุรี ร่วมกับมูลนิธิส่งเสริมและพัฒนาคนพิการ จัดฝึกอบรมหลักสูตรการใช้เทคโนโลยีสร้างสรรค์เพื่อเพิ่มศักยภาพและสร้างรายได้สำหรับคนพิการ มีมหาวิทยาลัยสยาม ให้ความอนุเคราะห์ทีมวิทยากร


นายเดชา กล่าวต่อว่า สำหรับโครงการดังกล่าว ดำเนินการเป็นไปตามภารกิจของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เพื่อเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพแก่คนพิการ  เน้นการนำเทคโนโลยีดิจิทัล ผสมผสานกับความคิดสร้างสรรค์ เป็นเครื่องมือในการสร้างรายได้ สอดคล้องกับแนวทางของประเทศในการพัฒนาแรงงานยุคใหม่ ให้มีทักษะที่ตอบโจทย์เศรษฐกิจในยุคดิจิทัล ทางสถาบันฯ มีเป้าหมายฝึกอบรมคนพิการและผู้ดูแลคนพิการในจังหวัดนนทบุรี จำนวน 9 รุ่น 180 คน ครั้งนี้เปิดฝึกอบรมจำนวน 3 รุ่น รุ่นละ 20 คน รวมผู้เข้ารับการอบรม 60 คน



หลักจากนั้นได้เยี่ยมการฝึกอบรมการเป็นผู้ทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงาน สาขาอาชีพภาคบริการ สาขาพนักงานนวดไทย ระดับ 1 ซึ่งสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 26 นนทบุรี ร่วมบูรณาการงบประมาณจาก สมาคมแพทย์แผนไทยแห่งประเทศไทย จัดขึ้นระหว่างวันที่ 29 – 31 พฤษภาคม 2568  มีผู้เข้ารับการฝึกอบรมทั้งสิ้น จำนวน 20 คน  ซึ่งมีนายสุกษม อามระดิษ นายกสมาคมแพทย์แผนไทยแห่งประเทศไทย  ให้การต้อนรับ ณ สมาคมแพทย์แผนไทยแห่งประเทศไทย จังหวัดนนทบุรีอีกด้วย

วันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

กสม. เชิญชวนสมัครหรือเสนอชื่อบุคคลและองค์กรที่มีผลงานดีเด่นด้านการส่งเสริม ปกป้อง และคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ประจำปี 2568

 กสม. เชิญชวนสมัครหรือเสนอชื่อบุคคลและองค์กรที่มีผลงานดีเด่นด้านการส่งเสริม ปกป้อง และคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ประจำปี 2568

นายวสันต์  ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า ด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เห็นสมควรมอบรางวัลบุคคลและองค์กรที่มีผลงานดีเด่นด้านการส่งเสริม ปกป้อง และคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ประจำปี 2568 เพื่อยกย่อง เชิดชู และประกาศเกียรติคุณบุคคลและองค์กรที่อุทิศตนปฏิบัติงานด้านสิทธิมนุษยชนให้สังคมได้รับรู้ ตลอดจนเพื่อเผยแพร่ประวัติผลงานให้เป็นแบบอย่างและเป็นแรงบันดาลใจแก่บุคคลหรือองค์กรอื่นในสังคม รวมทั้งเพื่อรณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของสิทธิมนุษยชนเพิ่มขึ้น โดยแบ่งประเภทรางวัลออกเป็น 7 ประเภท 12 รางวัล ดังนี้

(1) ประเภทบุคคล กลุ่มบุคคล เครือข่าย จำนวน 6 รางวัล ได้แก่ ด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง จำนวน 2 รางวัล ด้านสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม จำนวน 2 รางวัล และด้านสิทธิของกลุ่มคนเปราะบาง จำนวน 2 รางวัล


(2) ประเภทองค์กรภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน จำนวน 1 รางวัล

(3) ประเภทหน่วยงานภาครัฐในระดับพื้นที่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน 1 รางวัล 

(4) ประเภทองค์กรภาคเอกชน จำนวน 1 รางวัล

(5) ประเภทองค์กรภาคประชาสังคม จำนวน 1 รางวัล

(6) ประเภทสื่อมวลชน จำนวน 1 รางวัล

(7) ประเภทโครงการหรืองานด้านการส่งเสริม ปกป้อง และคุ้มครองสิทธิมนุษยชน จำนวน 1 รางวัล

บุคคลและองค์กร โครงการหรืองาน ที่ได้รับการคัดเลือกจะได้รับโล่ประกาศเกียรติคุณ และเงินรางวัล รางวัลละ 30,000 บาท (สามหมื่นบาทถ้วน) 

ในการนี้ จึงขอเชิญชวนผู้สนใจยื่นใบสมัครหรือเสนอชื่อได้ตั้งแต่บัดนี้ จนถึงวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 โดยสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่กลุ่มงานส่งเสริมสิทธิมนุษยชน สำนักส่งเสริมการเคารพสิทธิมนุษยชน สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ หมายเลขโทรศัพท์ 0 2141 3930 หรือ 0 2141 3925 โทรศัพท์มือถือ 09 2471 3322 หรือ 06 2492 4641 โดยสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมและดาวน์โหลดใบสมัครได้ที่เว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ www.nhrc.or.th

กสม. ตรวจสอบโครงการระบบโครงข่ายไฟฟ้าของ กฟผ. ในพื้นที่ อ.สองแคว จ.น่าน แนะตรวจสอบสิทธิมนุษยชนรอบด้านและเร่งศึกษาวิจัยผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

 กสม. ตรวจสอบโครงการระบบโครงข่ายไฟฟ้าของ กฟผ. ในพื้นที่ อ.สองแคว จ.น่าน แนะตรวจสอบสิทธิมนุษยชนรอบด้านและเร่งศึกษาวิจัยผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

นางสาวศยามล  ไกยูรวงศ์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนจากเครือข่ายพลังสองแควเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ระบุว่า โครงการระบบโครงข่ายไฟฟ้า 500 กิโลโวลต์ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนหงสาลิกไนต์ของ สปป. ลาว (ดำเนินการแล้วเสร็จเมื่อปี 2558) มีเสาไฟฟ้าพาดผ่านพื้นที่ทำกิน ที่อยู่อาศัยของเกษตรกรและประชาชนในตำบลนาไร่หลวง และตำบลชนแดน อำเภอสองแคว จังหวัดน่าน ส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติในพื้นที่ เช่น พื้นที่ป่าไม้เขตอนุรักษ์ และป่าชุมชนลดลง การประกอบอาชีพเกษตรกรรมของประชาชนเปลี่ยนแปลงไป แม่ไก่ฟักไข่เป็นไข่ข้าว ปลาไม่โตตามเวลา ผลผลิตการเกษตรใต้แนวสายส่งลดลง ประชาชนต้องเผชิญกับเสียงดังรบกวนจากสายส่งเสาไฟฟ้า เสียงฟ้าร้องและฟ้าแลบในช่วงฤดูฝน และรู้สึกไม่ปลอดภัยจากเสาไฟฟ้าที่อาจไม่มีสายดิน ที่ดินของประชาชนที่มีเสาไฟฟ้าพาดผ่านกลายเป็นพื้นที่มีตำหนิส่งผลต่อการออกโฉนดที่ดิน และยังคงมีปัญหาไฟฟ้าดับบ่อย ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตประจำวันของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยติดเตียงที่จำเป็นต้องพึ่งพาถังออกซิเจน แม้ว่า กฟผ. จะแจ้งว่าวัตถุประสงค์ส่วนหนึ่งของโครงการคือการนำกระแสไฟฟ้ามาแก้ไขปัญหาไฟฟ้าดับบ่อยให้กับประชาชนในพื้นที่ก็ตาม นอกจากนี้ ระบบโครงข่ายไฟฟ้าเส้นใหม่ ของ กฟผ. ในฐานะ ผู้ถูกร้อง ซึ่งอยู่ระหว่างการสำรวจและกำหนดแนวสายส่งไฟฟ้าพาดผ่านในพื้นที่ตำบลชนแดนและตำบลนาไร่หลวงเช่นเดิมนั้น ผู้นำชุมชนและประชาชนไม่ทราบเรื่องการสำรวจและแนวเส้นสำรวจสายส่งไฟฟ้ามาก่อน ทำให้อาจจะกระทบสิทธิในที่ดินของประชาชน และประชาชนในพื้นที่ยังไม่มีส่วนร่วมในโครงการทั้งสองของผู้ถูกร้อง จึงขอให้ตรวจสอบ

กสม. ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย หลักกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องแล้ว เห็นว่า การดำเนินโครงการระบบโครงข่ายไฟฟ้า 500 กิโลโวลต์ รับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนหงสาลิกไนต์ สปป. ลาว รวมทั้งการดำเนินระบบโครงข่ายไฟฟ้าเส้นใหม่ คือ โครงการระบบโครงข่ายไฟฟ้าเพื่อรองรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำใน สปป. ลาว ของ กฟผ. ซึ่งอยู่ระหว่างการขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ตามขั้นตอนของกฎหมาย มีพื้นที่พาดผ่านพื้นที่คุณภาพลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี ต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และมีพื้นที่พาดผ่านพื้นที่ป่าโซน C ต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (IEE) ได้จัดประชุมรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในจังหวัดน่านครอบคลุมพื้นที่ทั้งสองช่วงในตำบลชนแดนและตำบลนาไร่หลวง อำเภอสองแคว อันเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดทำรายงาน EIA รวมทั้งกฎหมายอื่นที่เปิดโอกาสให้ประชาชนในพื้นที่ได้เข้ามามีส่วนร่วมแล้ว โดยได้นำข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะมากำหนดมาตรการป้องกันผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าวรวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนตามที่เสนอในรายงาน EIA และรายงาน IEE อย่างเคร่งครัด รวมทั้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ยังไม่มีการประกาศกำหนดเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้า ในชั้นนี้ จึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่า การดำเนินโครงการทั้งสองของผู้ถูกร้อง ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน


สำหรับประเด็นผลกระทบต่อสุขภาพ สภาพแวดล้อม วิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่อำเภอสองแคว จังหวัดน่าน นั้น เห็นว่า ผู้ถูกร้องดำเนินโครงการระบบโครงข่ายไฟฟ้า 500 กิโลโวลต์ฯ ตั้งแต่ปี 2558 มีการจัดทำรายงานผลการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นประจำทุก 2 เดือน และมีมาตรการลดความเสี่ยงและแนวทางการเยียวยาความเสียหายจากการละเมิดสิทธิมนุษยชน ตามรายงานผลการปฏิบัติตามแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (National Action Plan on Business and Human Rights: NAP) แต่ยังมีประชาชนที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เช่น ไฟฟ้าดับบ่อยที่ส่งผลกระทบต่อผู้ป่วยติดเตียงที่ต้องพึ่งพาออกซิเจนและเครื่องมือแพทย์ การตัดต้นไม้ส่งผลกระทบต่อแหล่งต้นน้ำลำธารในพื้นที่ การปลูกป่าทดแทนในพื้นที่ที่ไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง การคืนประโยชน์สู่ชุมชนที่ไม่ชัดเจนหรือเพียงพอในด้านต่าง ๆ รวมทั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งมีชีวิต เช่น สาเหตุการเสียชีวิตของประชาชนที่อาศัยอยู่ใกล้เสาไฟฟ้าแรงสูง การเจ็บป่วยของประชาชน และอาการผิดปกติและการตายของสัตว์น้ำและสัตว์เลี้ยง 


ขณะที่การดำเนินระบบโครงข่ายไฟฟ้าเส้นใหม่ คือ โครงการระบบโครงข่ายไฟฟ้าเพื่อรองรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำใน สปป. ลาว ได้กำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่สำคัญไว้ และมีข้อกำหนดให้ผู้ถูกร้องเร่งดำเนินการแก้ไขปรับปรุงข้อร้องเรียนต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นไว้ในรายงาน EIA และผู้ถูกร้องยังมีนโยบายให้มีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อตอบข้อสงสัยของประชาชนเกี่ยวกับผลกระทบของระบบโครงข่ายไฟฟ้าต่อการเจริญเติบโตของพืชและสัตว์โดยตรง จึงเห็นว่า ผู้ถูกร้องได้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกัน แก้ไข และติดตามผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งยังไม่ปรากฏหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชี้ชัดว่าเสาไฟฟ้าแรงสูงสามารถกระตุ้นความเสี่ยงให้เกิดโรคร้ายแรงได้ และไม่พบการเจริญเติบโตที่ผิดปกติของพืชหลักในแนวสายส่งไฟฟ้าแรงสูง ในชั้นนี้ จึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่าการดำเนินโครงการทั้งสองของผู้ถูกร้องส่งผลกระทบต่อสุขภาพ สภาพแวดล้อม วิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่อำเภอสองแคว จังหวัดน่าน 


อย่างไรก็ตาม แม้ว่าผู้ถูกร้องได้ปฏิบัติตามมาตรการและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องครบถ้วน แต่ยังคงมีปัญหาและผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงต่อประชาชนในพื้นที่ ดังนั้น เพื่อคุ้มครองสิทธิในการดำรงชีวิตในสิ่งแวดล้อมและสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพของประชาชน และยังเป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องคุ้มครอง บำรุงรักษา ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (ICESCR) ที่ได้ให้การรับรองไว้ กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2568 จึงมีข้อเสนอแนะไปยัง กฟผ. ในฐานะผู้ถูกร้องและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสรุปได้ดังนี้


ให้ กฟผ. เร่งดำเนินการศึกษาและวิจัยร่วมกับหน่วยงานหรือสถาบันการศึกษา เกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการระบบโครงข่ายไฟฟ้าต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนและสิ่งแวดล้อม ทั้งในระยะสั้นและระยาว และร่วมกับจังหวัดน่าน เฝ้าระวังสิ่งแวดล้อมและสุขภาพอย่างต่อเนื่อง โดยตรวจวัดคุณภาพสิ่งแวดล้อมและตรวจสุขภาพให้ประชาชนในพื้นที่หมู่บ้านที่สายส่งไฟฟ้าพาดผ่าน และให้แจ้งข้อมูลผลการตรวจและมาตรการเฝ้าระวังสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ผ่านช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ หรือผ่านผู้นำชุมชน เพื่อสร้างความเข้าใจและความเชื่อมั่นให้ประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากโครงการทั้งสอง พร้อมทั้งดำเนินการคืนประโยชน์ให้กับชุมชนที่ได้รับผลกระทบ อาทิ จัดสรรงบประมาณดูแลรักษาสุขภาพของประชาชนที่อาศัยอยู่ใกล้แนวเสาไฟฟ้าแรงสูง จัดสรรงบประมาณปลูกต้นไม้ทดแทนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ และส่งเสริมอาชีพอย่างยั่งยืนในพื้นที่ทำกินของประชาชนที่ใกล้แนวเสาไฟฟ้าแรงสูง รวมทั้งการจ่ายเงินค่ารอนสิทธิในที่ดินของประชาชนให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง


ให้ กฟผ. ดำเนินการตรวจสอบสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน (Human Rights Due Diligence: HRDD) ของทั้งสองโครงการเป็นประจำทุกปีเพื่อประเมินผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม รวมทั้งพัฒนากลไกการมีส่วนร่วมที่มีความหมาย เพื่อให้ประชาชนได้เข้าถึงและรับรู้ข้อมูลข่าวสาร รวมทั้งมีส่วนร่วมตลอดระยะเวลาการดำเนินโครงการ โดยให้กระทรวงพลังงานจัดทำแผนตรวจสอบ ติดตาม และเผยแพร่รายงานผลการประเมินการทำ HRDD ทั้งสองโครงการของ กฟผ. ให้ประชาชนทั่วไปรับทราบ 


นอกจากนี้ ให้ กฟผ. และกระทรวงพลังงาน ถอดบทเรียนผลการดำเนินโครงการระบบสายส่งไฟฟ้าที่ผ่านมา โดยรวบรวมปัญหาอุปสรรค และข้อร้องเรียน เพื่อนำไปแก้ไขหรือปรับปรุงการดำเนินโครงการในระยะต่อไปให้เป็นไปตามหลักการชี้แนะแห่งสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชน (UNGPs) และให้มีการทำ HRDD โดยครอบคลุมมิติผลกระทบต่อชุมชน ที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ทั้งนี้ ให้ดำเนินการในโครงการระบบโครงข่ายไฟฟ้าเพื่อรองรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำใน สปป. ลาว ที่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติมีมติเห็นชอบต่อรายงานประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2567

กสม. ประสานการแก้ไขปัญหากรณีการจ้างเจ้าหน้าที่ธุรการโรงเรียนและนักการภารโรงทั่วประเทศ ยืนยันหลักการด้านสิทธิแรงงาน

 กสม. ประสานการแก้ไขปัญหากรณีการจ้างเจ้าหน้าที่ธุรการโรงเรียนและนักการภารโรงทั่วประเทศ ยืนยันหลักการด้านสิทธิแรงงาน

นายวสันต์  ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนจากสมาพันธ์เจ้าหน้าที่ธุรการโรงเรียนแห่งประเทศไทย และเครือข่ายลูกจ้างนักการภารโรงสี่ภาค เมื่อเดือนมีนาคม 2568 ระบุว่า เจ้าหน้าที่ธุรการโรงเรียน จำนวนกว่า 9,000 อัตรา นักการภารโรง จำนวนกว่า 20,000 อัตรา ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) (ผู้ถูกร้อง) ซึ่งเป็นลูกจ้างชั่วคราวตามสัญญาจ้างรายปี ได้รับผลกระทบจากการที่ สพฐ. ปรับเปลี่ยนสัญญาจ้างงานจากลูกจ้างชั่วคราวเป็นการจ้างเหมาบริการ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 (1 ตุลาคม 2567) เป็นต้นมา โดยไม่มีการแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ไม่มีการเจรจาต่อรอง และใช้กฎระเบียบบีบบังคับให้ต้องลงนามรับสภาพการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างงาน ทำให้ได้รับความเดือดร้อน ถูกยกเลิกประกันสังคมตามมาตรา 33 ของพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และกองทุนเงินทดแทน ตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. 2537 และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมถึงไม่ได้รับสิทธิการลาป่วย การลาพักผ่อน ไม่มีเงินค่าเสี่ยงภัย ได้รับเงินเดือนล่าช้า จึงร้องเรียนขอความช่วยเหลือ

กสม. เห็นว่าเรื่องร้องเรียนดังกล่าวสามารถแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็วได้โดยการประสานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อเดือนเมษายน 2568 กสม. จึงได้จัดประชุมร่วมกับสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงแรงงาน สำนักงานประกันสังคม กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงบประมาณ กรมบัญชีกลาง ผู้ทรงคุณวุฒิ สพฐ. และผู้ร้องทั้งสองกลุ่ม เพื่อหารือถึงแนวทางแก้ไขปัญหาตามคำร้อง โดยปรากฏข้อเท็จจริง สรุปว่า 


ตำแหน่งธุรการโรงเรียนและตำแหน่งนักการภารโรง ได้รับเงินค่าจ้างเดือนละ 15,000 บาท และ 9,000 บาท หากหยุดงานจะถูกหักเงินวันละ 500 และ 300 บาท ตามลำดับ แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนสัญญาจ้างจากลูกจ้างชั่วคราวเป็นการจ้างเหมาบริการ แต่การปฏิบัติงานยังคงเป็นลักษณะเดิม กล่าวคือ มีการลงเวลาปฏิบัติงาน มีสายการบังคับบัญชา ต้องรับคำสั่งจากผู้อำนวยการโรงเรียน ซึ่งเป็นลักษณะของการจ้างแรงงานมิใช่การจ้างเหมาบริการที่ประเมินผลเป็นชิ้นงานแต่อย่างใด 


ในปี 2552 สพฐ. ได้รับงบประมาณสนับสนุนการจ้างลูกจ้างชั่วคราวจากโครงการไทยเข้มแข็ง (พ.ศ.2553-2555) จึงนำงบประมาณมาจ้างบุคลากรสายสนับสนุนการศึกษา ภายหลังสิ้นสุดโครงการฯ สพฐ. ได้จ้างผู้ร้องทั้งสองกลุ่มเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานในสถานศึกษาอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งงบประมาณในหมวดงบดำเนินงานตามกรอบอัตรากำลัง เพื่อนำงบประมาณมาจ่ายสมทบค่าประกันสังคมและกองทุนเงินทดแทนให้แก่ผู้ร้องทั้งสองกลุ่ม โดยไม่ได้ทำข้อตกลงกับกรมบัญชีกลางก่อนการจ้าง ซึ่งไม่เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2566 ตามหลักการงบประมาณการจ้างลูกจ้างชั่วคราวต้องจัดทำคำของบประมาณในหมวดบุคลากร ต่อมาสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ท้วงติงว่ากรณีดังกล่าวเป็นการใช้งบประมาณไม่ถูกหมวด จึงได้เสนอแนะให้จัดทำคำของบประมาณในการจ้างลูกจ้างให้ถูกต้องตามหมวด อย่างไรก็ดี เมื่อ สพฐ. ยังไม่ได้จัดทำข้อตกลงกับกรมบัญชีกลาง จึงไม่สามารถจัดทำคำของบประมาณเพื่อสมทบการจ่ายค่าประกันสังคมและกองทุนเงินทดแทนได้ ดังนั้น ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ผู้ถูกร้องจึงตั้งงบประมาณการจ้างผู้ร้องทั้งสองในหมวดงบรายจ่ายอื่นไปพลางก่อน จึงทำให้รูปแบบของสัญญาจ้างเปลี่ยนไป เป็นในลักษณะของสัญญาจ้างเหมาบริการ


กรณีการแก้ไขปัญหาดังกล่าว สพฐ. ผู้ถูกร้อง ได้หารือไปยังกรมบัญชีกลาง สำนักงาน ก.พ. สำนักงบประมาณ และได้ตั้งคณะทำงานเพื่อพิจารณาลักษณะงาน โดยมีแผนเสนออัตราบุคลากรเพื่อทำข้อตกลงเป็นลูกจ้างชั่วคราวกับกรมบัญชีกลาง แยกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ 1 ลักษณะงานวิชาการเช่นเดียวกับข้าราชการกว่า 44,600 อัตรา และกลุ่มที่ 2 นักการภารโรง แม่ครัว กว่า 27,500 อัตรา ผู้ถูกร้องได้ทำหนังสือแจ้งกรมบัญชีกลางเมื่อเดือน เมษายน 2568 โดยกรมบัญชีกลางอยู่ระหว่างการพิจารณาอนุมัติคำขออัตรากำลังลูกจ้างชั่วคราวของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง


กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2568 ได้พิจารณาผลการประสานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนแล้ว เห็นว่า กรณีดังกล่าว สพฐ. ผู้ถูกร้องได้แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาและจัดทำข้อมูลลักษณะการปฏิบัติงานในตำแหน่งธุรการโรงเรียนและนักการภารโรงส่งไปยังกรมบัญชีกลาง เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องแล้ว อย่างไรก็ดี เพื่อเป็นการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน จึงมีมติให้ดำเนินการดังนี้ 


(1) มีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีให้พิจารณาจัดสรรงบประมาณสำหรับการจ้างงานลูกจ้างกลุ่มเจ้าหน้าที่ธุรการโรงเรียน และนักการภารโรง เป็นลูกจ้างชั่วคราวเช่นเดิม พร้อมทั้งสมทบค่าประกันสังคมและกองทุนเงินทดแทน เพื่อเป็นการเยียวยาในระยะเร่งด่วน 


(2) มีหนังสือถึงสำนักงาน ก.พ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ ( คปร. ) เพื่อยืนยันหลักการด้านสิทธิแรงงาน ตามที่ได้รับการรับรองคุ้มครองไว้ตามรัฐธรรมนูญ กติการะหว่างประเทศ และหรือหลักการอื่นและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณา


(3) มีหนังสือถึง สพฐ. ผู้ถูกร้อง ให้กำชับติดตามความคืบหน้าการดำเนินการดังกล่าวไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป

“พันตรี ประวีร์" ได้รับเสียงโหวด ให้รับตำแหน่งประธานวุฒิอาสาธนาคารสมอง นนทบุรี

 “พันตรี ประวีร์" ได้รับเสียงโหวด ให้รับตำแหน่งประธานวุฒิอาสาธนาคารสมอง นนทบุรี 



เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ได้มีการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2568 วุฒิอาสาธนาคารสมอง นนทบุรี เพื่อเลือกตั้งประธานวุฒิอาสาธนาคารสมองจังหวัดนนทบุรี คนใหม่แทนคนเก่าที่ลาออก โดยมีนายเกียรติศักดิ์ ตรงศิริ ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2568 ครั้งนี้ ณ อาคารสำนักงานองค์การบริหารส่วนจังหวัดนนทบุรี แห่งที่ 2 (วัดลานนาบุญ) ชั้น 4

ในการนี้ พ.อ.อาณัติ ดำนงค์ รอง ผอ.รมน.จังหวัดนนทบุรี (ท.) มอบหมายให้ พ.ท.หญิง พรปวีณ์ วีรเจริญศักดิ์ รอง หน.กลุ่มงานกิจการมวลชน กอ.รมน.จังหวัดนนทบุรี เข้าร่วมการประชุมฯ มีสมาชิกของธนาคารสมอง ที่เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการและสักขีพยานในการยกมือเลือกประธานวุฒิอาสาธนาคารสมองจังหวัดนนทบุรี คนใหม่ในครั้งนี้ ประมาณ 80 คน 

   


ผลการประชุมการเลือกตั้งประธานวุฒิอาสาธนาคารสมองจังหวัดนนทบุรีคนใหม่ ลงมติเป็นเอกฉันท์ ให้ พันตรี ประวีร์ จินดาวรรณ (ทหารนอกราชการ) เป็นประธานคนใหม่ในการวางแผนการขับเคลื่อนการดำเนินงานของวุฒิอาสาธนาคารสมองจังหวัดนนทบุรี เพื่อพัฒนาท้องถิ่นจังหวัดนนทบุรี ภายใต้โครงการพัฒนาความร่วมมือการมีส่วนร่วมของประชาชน ในการพัฒนาท้องถิ่นและจังหวัด ต่อไป

พันตรี ประวีร์ จินดาวรรณ กล่าวเปิดใจหลังจากได้รับการเลือกให้เป็นประธานคนใหม่ของวุฒิอาสาธนาคารสมองจังหวัดนนทบุรี ว่า ตนเองจะทำหน้าที่ในการพัฒนาจังหวัดนนทบุรี ตามกำลังความรู้ความสามารถที่มีอยู่อย่างเต็มที่ เพื่อตอบแทนเสียงโหวดที่ให้ความไว้วางใจตนในการเป็นประธานวุฒิอาสาธนาคารสมองจังหวัดนนทบุรี ครั้งนี้

   




ความเป็นมาของ "วุฒิอาสาธนาคารสมอง" สืบเนื่องด้วย พระวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงชี้แนะให้เห็นว่าประเทศไทยนั้น มีผู้ที่เกษียณอายุแล้วแต่ยังคงมีความรู้ ความสามารถ และช่วยงานด้านต่างๆ อันจะเป็นประโยชน์แก่ สังคมและบ้านเมืองได้ เพราะบุคคลเหล่านี้ ถือเป็นมันสมองของประเทศ นับเป็น การจุดประกายริเริ่มแนวคิด ในการจัดตั้ง "ธนาคารสมอง" ขึ้น โดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่เป็นหน่วยทะเบียนกลาง ในการรวบรวมข้อมูล จัดทำทำเนียบวุฒิอาสาธนาคารสมอง จำแนกเป็นรายสาขาการพัฒนาประเทศ รวมทั้งสิ้น 21 สาขา และประสานเชื่อมโยงภาคีเครือข่ายในการขับเคลื่อนงานร่วมกันในพื้นที่ รวมทั้งทำงานร่วมกับมูลนิธิพัฒนาไท ในการส่งเสริมและสนับสนุนการขับเคลื่อนงานของวุฒิอาสาฯ ผู้ซึ่งอุทิศตน เพื่อทำประโยชน์ให้แก่ ประเทศชาติ


วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

กรมวิทย์ฯ บริการ หนุนเทคโนโลยีแปรรูปน้ำตาลโตนด ยกระดับคุณภาพผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นสู่เชิงพาณิชย์

 กรมวิทย์ฯ บริการ หนุนเทคโนโลยีแปรรูปน้ำตาลโตนด ยกระดับคุณภาพผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นสู่เชิงพาณิชย์

      กรมวิทยาศาสตร์บริการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) มุ่งเสริมศักยภาพเกษตรกรและผู้ประกอบการระดับฐานรากอย่างต่อเนื่อง ด้วยการส่งเสริมการนำองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เหมาะสมไปปรับใช้เพื่อยกระดับคุณภาพวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น ให้ได้กระบวนการที่เหมาะสมต่อการพัฒนาให้มีการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการได้อย่างยั่งยืน โดยเฉพาะน้ำตาลโตนด ซึ่งเป็นสินค้าที่เป็นอัตลักษณ์สำคัญของจังหวัดเพชรบุรีที่มีศักยภาพสูงในการพัฒนาเชิงพาณิชย์


        น้ำตาลโตนดเป็นน้ำตาลธรรมชาติที่ได้จากต้นตาลโตนด มีเอกลักษณ์เฉพาะด้วยกลิ่นหอมหวาน และนิยมใช้เป็นส่วนผสมในอาหารและขนมหวานหลากหลายชนิด อย่างไรก็ตามน้ำตาลโตนดสดสามารถเก็บเกี่ยวได้เฉพาะในช่วงฤดูผลิตระหว่างเดือนมกราคมถึงมิถุนายนเท่านั้น ผู้ประกอบการจึงมักแปรรูปเป็นน้ำตาลโตนดกึ่งแข็ง และเก็บไว้ในห้องเย็น เพื่อยืดอายุการใช้งานและรองรับความต้องการในช่วงนอกฤดูผลิต กระบวนการนี้แม้จะช่วยให้มีวัตถุดิบไว้ใช้ตลอดปี แต่ก็เป็นการเพิ่มต้นทุนการผลิตให้กับผู้ประกอบการอย่างมาก 

       ศูนย์วิจัยและพัฒนาวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ (ศวว.) สถาบันวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีชุมชน (สทช.) ได้ดำเนินการ โครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์สินค้าชุมชน โดยในระหว่างวันที่ 26–28 พฤษภาคม 2568 นางสุบงกช ทรัพย์แตง ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ พร้อมด้วยคณะนักวิทยาศาสตร์ ได้ลงพื้นที่อำเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี ณ กลุ่มผู้ผลิตน้ำตาลโตนด ไร่เรา ฟาร์มมิลี่ เพชรบุรี เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยี การแปรรูปการผลิตน้ำตาลโตนดผงอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่กระบวนการจัดการวัตถุดิบ การควบคุมอุณหภูมิและเวลาในการอบ ความหนาชั้นผลิตภัณฑ์ในถาดอบ ไปจนถึงกระบวนการบด การบรรจุ ที่มีการควบคุมความชื้น เพื่อให้ได้น้ำตาลโตนดผงที่มีคุณภาพ คงสภาพได้นาน และตรงตามความต้องการของตลาด  



       กิจกรรมครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่สามารถนำไปใช้ได้จริงในบริบทของชุมชน เพื่อลดข้อจำกัดด้านฤดูกาลของการผลิต ช่วยให้ผู้ผลิตสามารถจำหน่ายสินค้าได้ตลอดทั้งปี และยกระดับคุณภาพผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดสมัยใหม่ ทั้งในระดับประเทศและระดับสากล โดยผลจากการดำเนินงานช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถผลิตสินค้าได้อย่างมีคุณภาพ ช่วยเพิ่มโอกาสทางการตลาด และยกระดับวัตถุดิบท้องถิ่นสู่ระดับอุตสาหกรรมหรือการส่งออกในอนาคต อีกทั้งยังเป็นการสร้างรายได้ให้แก่ชุมชน เสริมศักยภาพผู้ประกอบการฐานราก และใช้ทรัพยากรท้องถิ่นอย่างคุ้มค่า อันจะนำไปสู่ความมั่นคงทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

กรมการค้าต่างประเทศเดินหน้าเสิร์ฟต่อ “มหกรรมการค้าชายแดน ณ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์” เสริมแกร่งเศรษฐกิจฐานราก สร้างโอกาสทางการค้าของผู้ประกอบการไทย

 กรมการค้าต่างประเทศเดินหน้าเสิร์ฟต่อ “มหกรรมการค้าชายแดน ณ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์” เสริมแกร่งเศรษฐกิจฐานราก สร้างโอกาสทางการค้าของผู้ประกอบการไทย

กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าต่างประเทศ เดินหน้าสานต่อความสำเร็จมหกรรมการค้าชายแดน เตรียมจัดงาน “มหกรรมการค้าชายแดน ณ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์” ระหว่างวันที่ 13 - 16 มิถุนายน 2568 ณ หัวหิน คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ ศูนย์การค้าบลูพอร์ต หัวหิน ตามนโยบายรัฐบาล “ลดค่าใช้จ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส” เสริมแกร่งเศรษฐกิจฐานรากพร้อมสร้างโอกาสทางการค้าของผู้ประกอบการไทยเชื่อมโยงห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายพิชัย นริพทะพันธุ์) เป็นประธานการจัดงานซึ่งภายในงานจะพบกับการจัดแสดงและจำหน่ายสินค้าชั้นนำของผู้ประกอบการจากทั่วประเทศ ทั้งสินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าเกษตรและผลไม้ สินค้าไลฟ์สไตล์ อาหารและเครื่องดื่ม และสินค้าจากวิสาหกิจชุมชนกว่า 150 ร้านค้า และกิจกรรมเจรจาจับคู่ธุรกิจ (Online Business Matching) กับผู้นำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้านและอื่น ๆ นอกจากนี้ มีการแสดงพิเศษจากศิลปินที่มีชื่อเสียง (Mini Concert) และการแสดงศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นที่สวยงามเป็นเอกลักษณ์ตลอดทั้ง 4 วันของการจัดงาน 

นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า จากความสำเร็จของการจัดงานมหกรรมการค้าชายแดน ณ จังหวัดตาก เมื่อวันที่ 9 - 13 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา กรมการค้าต่างประเทศได้สานต่อความสำเร็จดังกล่าว เตรียมจัดงาน “มหกรรมการค้าชายแดน ณ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์” เพื่อพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการรายย่อย สนับสนุนการสร้างเครือข่ายความร่วมมือทางการค้าและการลงทุน และเชื่อมโยงโอกาสทางการค้าระหว่างประเทศ อันจะนำไปสู่การยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ให้ดีขึ้น โดยกรมฯ ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานพันธมิตร อาทิ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ หน่วยงานภายในกระทรวงพาณิชย์ สถาบันการเงิน ภาครัฐและภาคเอกชนจากส่วนกลางและในพื้นที่ ซึ่งการจัดงานดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายของกระทรวงพาณิชย์ที่มุ่งเน้นการทำงานเชิงรุกเพื่อเปิดประตูการค้าของไทยทั้งในตลาดเดิมและประเทศเพื่อนบ้าน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และส่งเสริมการค้าชายแดนและผ่านแดนในการเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของไทย 

นางอารดาฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า จังหวัดประจวบคีรีขันธ์เป็นหนึ่งในจังหวัดเป้าหมายของการดำเนินโครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและสร้างโอกาสทางการค้าให้ภาคธุรกิจและผู้ประกอบการรายย่อยในห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ในพื้นที่ตามแนวชายแดนหรือระเบียงเศรษฐกิจพิเศษปี 2568 โดยจังหวัดประจวบคีรีขันธ์เป็นจังหวัดที่มีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวที่สามารถยกระดับเป็นเมืองพักผ่อน



เพื่อสุขภาพระดับสากล มีเส้นทางขนส่งและโลจิสติกส์เชื่อมโยงอ่าวไทยและทะเลอันดามัน มีจุดผ่อนปรนพิเศษด่านสิงขรเป็นประตูการค้าสำคัญสู่ประเทศเมียนมา โดยในปี 2567 มีมูลค่าการค้าชายแดนและผ่านแดนรวมกว่า 7,200 ล้านบาท สินค้าส่งออกสำคัญ อาทิ ผลไม้สด เอทิลีน และอาหารปรุงแต่ง ซึ่งกรมฯ เชื่อมั่นว่า การจัดงานในครั้งนี้จะมีส่วนช่วยยกระดับเศรษฐกิจฐานราก สร้างรายได้และขยายโอกาสให้กับผู้ประกอบการในการเข้าสู่ตลาดสากล จึงขอเชิญชวนประชาชน นักธุรกิจ นักลงทุน และผู้สนใจทุกท่าน เข้าร่วมงาน “มหกรรมการค้าชายแดน ณ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์” เพื่อร่วมเปิดประสบการณ์ทางการค้าพบสินค้าคุณภาพจากทั่วประเทศ และมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจเข้าร่วมงานฯ สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.dft.go.th Facebook: กรมการค้าต่างประเทศ DFT และสายด่วน 1385 DFT Call Center


สวทช. โชว์ต้นแบบฟาร์ม “ไข่ผำพรีเมียม” ด้วยเทคโนโลยี IoTพร้อมองค์ความรู้โรงงานผลิตพืชอัจฉริยะ ตอบโจทย์อุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต

 สวทช. โชว์ต้นแบบฟาร์ม “ไข่ผำพรีเมียม” ด้วยเทคโนโลยี IoTพร้อมองค์ความรู้โรงงานผลิตพืชอัจฉริยะ ตอบโจทย์อุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต




(วันที่ 29 พฤษภาคม 2568) ณ Pro-t Farm อ.พานทอง จังหวัดชลบุรี: กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) และศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) จัดกิจกรรม "NSTDA x Press Interviews: ต้นแบบการเลี้ยงไข่ผำ ด้วยเทคโนโลยี IoT พร้อมองค์ความรู้โรงงานผลิตพืชอัจฉริยะ" ผนึกกำลังสมาพันธ์การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไทย นำคณะสื่อมวลชน ชมต้นแบบการเพาะเลี้ยง “ไข่ผำ” พืชน้ำโปรตีนสูง สู่การผลิต “ผำพรีเมียม” ด้วยเทคโนโลยีเกษตรแม่นยำ ระบบการจัดการฟาร์มแบบครบวงจร ซึ่งเป็นความร่วมมืองานวิจัยเพื่อขยายผลสู่ชุมชนพร้อมถ่ายทอดองค์ความรู้สู่เกษตรกรอย่างเป็นรูปธรรม 

ไข่ผำเป็นพืชน้ำพื้นบ้านที่พบได้ทั่วไปในประเทศไทย มีปริมาณโปรตีนและคุณค่าทางอาหารสูง อย่างไรก็ตามการผลิตไข่ผำแบบดั้งเดิมยังประสบปัญหาความไม่สม่ำเสมอของผลผลิต การปนเปื้อน และขาดมาตรฐาน ทำให้ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดที่กำลังเติบโต โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคตและอาหารเฉพาะบุคคล Functional Food โดยความร่วมมืองานวิจัยเพื่อขยายผลสู่ชุมชนนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างมาตรฐานการผลิตผำที่แตกต่างจากผำทั่วไปในท้องตลาด นำไปสู่การแบ่งเกรดและเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์เทคโนโลยี สวทช. หัวใจสำคัญในการยกระดับการผลิต ‘ผำพรีเมียมปลอดภัย’ โตไวได้โปรตีนสูงภายใน 7 วัน

ดร.เกรียงไกร โมสาลียานนท์ หัวหน้าทีมวิจัยนวัตกรรมโรงงานผลิตพืชสมุนไพร ไบโอเทค สวทช. กล่าวว่า ไบโอเทค สวทช. ได้นำองค์ความรู้เชิงลึกทางด้านสรีรวิทยาของพืชและความต้องการปัจจัยแวดล้อมที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต มาสนับสนุนการดำเนินงานร่วมกับเนคเทค สวทช. อย่างใกล้ชิด โดยได้กำหนดขอบเขตของปัจจัยที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืชอย่างละเอียด ครอบคลุมทั้งด้านแสงสว่าง อุณหภูมิ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และสูตรปุ๋ยธาตุอาหารที่แม่นยำ

ด้าน เนคเทค สวทช. เป็นหน่วยงานหลักในการพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยี IoT และระบบเกษตรแม่นยำ ฟาร์มอัจฉริยะ HandySense มาใช้ในกระบวนการผลิตให้ได้ปริมาณ คุณภาพ และมีความปลอดภัย ตลอดจนนวัตกรรมหลังการเก็บเกี่ยวเพื่อรักษาคุณภาพของไข่ผำ ดร.ศุภนิจ พรธีระภัทร นักวิจัยอาวุโส ทีมวิจัยเทคโนโลยีเกษตรดิจิทัล เนคเทค สวทช. กล่าวว่า เนคเทค สวทช. ผสานองค์ความรู้ด้านความต้องการของพืชจากไบโอเทค สวทช. มาผนวกกับข้อมูลการตรวจวัดจาก HandySense ระบบเกษตรแม่นยำ ฟาร์มอัจฉริยะ 

เพื่อให้ได้มาซึ่งสูตรการผลิตเฉพาะ (Growth Recipe) ที่เหมาะสมสำหรับการเพาะเลี้ยงไข่ผำในแต่ละรอบการผลิต โดยสามารถประมาณปริมาณผลผลิต ปริมาณโปรตีน และสามารถปรับปรุงกระบวนการผลิตได้ตามเป้าหมาย จากการติดตามการตรวจวัดสภาพอากาศและสภาพน้ำในบ่อเพาะเลี้ยงตลอด 1 ปี ที่ผ่านมา ทำให้สามารถจัดการกระบวนการเพาะเลี้ยงให้เหมาะสมกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนไปตลอดช่วงปี โดยสามารถจะเก็บเกี่ยวไข่ผำได้ในทุก ๆ 7 วัน โดยได้ปริมาณและโปรตีนอยู่ในช่วงประมาณ 40% ต่อ 100 กรัมไข่ผำแห้ง

นายนริชพันธ์ เป็นผลดี หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีเกษตรดิจิทัล เนคเทค สวทช.  ให้ข้อมูลว่า HandySense ที่ติดตั้ง ณ Pro-T Farm ประกอบด้วยชุดเซนเซอร์ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการตรวจวัดสภาพน้ำและสภาวะอากาศที่เหมาะสมแบบเรียลไทม์ โดยวัดค่าออกซิเจนละลายในน้ำ (DO) ค่าอุณหภูมิอากาศ ค่าความชื้น   ค่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ค่าความเข้มข้นของปุ๋ย (EC) ค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) ที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 5 – 6.5 ค่าอุณหภูมิน้ำที่เหมาะสมอยู่ที่ 25-30 องศาเซลเซียส และค่าความเข้มแสง 200 ไมโครโมลต่อวินาทีต่อตารางเซนติเมตร โดยได้มีการกำหนดค่าต่าง ๆ  พร้อมระบบควบคุมที่สอดคล้องตามสูตรการผลิตเฉพาะ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการตรวจสอบและควบคุมอย่างใกล้ชิด เพื่อให้กระบวนการสังเคราะห์แสงของพืชดำเนินไปอย่างเต็มประสิทธิภาพ เกษตรกรสามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้อย่างสะดวกผ่านสมาร์ตโฟน ที่ใช้งานและเข้าใจง่าย    ทำให้สามารถรับทราบสถานการณ์และปรับปัจจัยที่เกี่ยวข้องได้ทันท่วงที ตัวอย่างเช่น เมื่อเกษตรกรรับทราบข้อมูลจาก HandySense ว่าปริมาณแสงในระหว่างวันน้อยกว่าค่าที่เหมาะสม อาจพิจารณาใช้แสง LED เปิดเสริมในช่วงเวลากลางคืนได้ หรือหากปริมาณน้ำน้อยไปจนมีอุณหภูมิสูง ให้เพิ่มปริมาณน้ำเข้าไปในบ่อ เพื่อให้ได้อุณหภูมิที่เหมาะสม เป็นต้น  

อีกทั้ง สวทช. โดย ศูนย์เทคโนโลยีไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ทีเมค) ยังได้พัฒนาเครื่องมือในการตรวจวัดปริมาณไนเตรท (Nitrate Meter) ในผลผลิตไข่ผำจากฟาร์มวิจัย เพื่อให้ทราบว่าควรบริโภคผักผลไม้หรือแหล่งอาหารที่มีไนเตรทได้ปริมาณเท่าไรต่อวันจึงเหมาะสมตามมาตรฐาน CODEX ทั้งนี้เพื่อให้องค์ความรู้กับประชาชนในการบริโภคอาหารแบบปลอดภัยต่อสุขภาพ 

ดร.ศุภนิจ กล่าวเสริมว่า เนคเทค สวทช. นอกจากการพัฒนาระบบการตรวจวัดและติดตามแบเรียลไทม์เพื่อควบคุมตัวแปรในกระบวนการผลิตแล้ว ยังได้ร่วมกับนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ จังหวัดฉะเชิงเทรา พัฒนากระบวนการหลังการเก็บเกี่ยว (Post-Harvest) เช่น ระบบการล้างฆ่าเชื้อ เพื่อลดความเสี่ยงจากการปนเปื้อนต่าง ๆ เช่น ยาฆ่าแมลงหรือสารเคมีที่อาจลอยมากับอากาศเข้ามาในโรงเรือน หรือจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรคทางเดินอาหารในมนุษย์ รวมไปถึงกระบวนการเพิ่มความสดให้กับทุกเม็ดไข่ผำหลังการเก็บเกี่ยว โดยนำเทคโนโลยีนาโนบับเบิลและโอโซนมาประยุกต์ใช้ในการกระบวนการทำความสะอาดไข่ผำ ทำให้ได้ไข่ผำปลอดเชื้อ ไม่มีกลิ่นเหม็นเขียว และสามารถยืดอายุการเก็บรักษาไว้ได้นานกว่าทั่วไป ในฟาร์มต้นแบบการผลิตไข่ผำปลอดเชื้อโปรตีนสูงนี้ ยังมีการใช้กระบวนการฟรีซดราย (Freeze Dry) เพื่อทำไข่ผำแห้งที่ไม่สูญเสียค่าโปรตีน มีกลิ่นหอม สีสวย เหมาะกับการนำไปแปรรูปเพิ่มมูลค่าสูง และยังเก็บรักษาได้นานเป็นปี เทคนิคดังกล่าวเป็นนวัตกรรมที่เนคเทคพัฒนาขึ้น และมีความพร้อมในการถ่ายทอดเทคโนโลยี

ปัจจุบันการวิจัยภายใต้ความร่วมมือนี้กำลังเก็บข้อมูลเพื่อสร้างเป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ซึ่งจะนำไปพัฒนาแบบจำลองปัญญาประดิษฐ์ (AI Model) ต่อไป โดย AI จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการวิเคราะห์ชุดข้อมูลที่ซับซ้อน ช่วยปรับปรุงสูตรการผลิตให้มีความแม่นยำยิ่งขึ้นไปอีก รวมทั้งพยากรณ์ปริมาณและคุณภาพผลผลิต AI ที่จะได้จากต้นแบบนี้ ยังสามารถพัฒนาไปสู่ระบบการจัดการฟาร์มแบบอัตโนมัติในอนาคตสำหรับพืชอื่น ๆ ต่อไปได้อีกด้วย

"หัวใจสำคัญของการเลี้ยงไข่ผำในความร่วมมือนี้ คือ ความปลอดภัยและวิธีการตรวจวัดและควบคุมต่าง ๆ เพื่อให้ได้กระบวนการที่เป็นองค์ความรู้และสร้างความเข้าใจอย่างถูกต้องแก่ประชาชนที่จะผลิตไข่ผำและบริโภคไข่ผำเพื่อเป็นอาหาร ให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าจะได้รับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสามารถในการควบคุมและจัดการสิ่งปนเปื้อนอื่นๆ รวมถึงได้ปริมาณโปรตีนในช่วงที่กำหนด สามารถตรวจสอบได้ และมั่นใจว่ามีความปลอดภัยต่อสุขภาพของผู้บริโภค ตั้งแต่ไข่ผำสดจนกระทั่งนำไปแปรรูปต่าง ๆ ก็ตาม" ดร.ศุภนิจ กล่าวทิ้งท้าย

จากวิกฤตอุตสาหกรรมกุ้ง สู่ทางออกด้วยนวัตกรรมไข่ผำ

นายบรรจง นิสภวาณิชย์ ประธานสมาพันธ์การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไทย กล่าวถึงที่มาและความสำคัญของความร่วมมือฯ นี้ว่า จากอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงกุ้งต้องเผชิญกับความท้าทายหลากหลายมิติ ทางสมาคมฯ จึงได้พิจารณาแสวงหาสร้างรายได้ให้แก่เพื่อนเกษตรกร การเพาะเลี้ยงไข่ผำแบบพรีเมียมด้วยเทคโนโลยีที่ สวทช.พัฒนาขึ้นนี้ นับเป็นทางเลือกที่มีศักยภาพสูง ไม่เพียงช่วยให้เกษตรกรเลี้ยงผำได้ดีขึ้นเท่านั้น แต่มีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับการเลี้ยงและการขายไข่ผำพรีเมียม ซึ่งที่ผ่านมาผำอาจจะขายกันแบบไม่มีราคาที่ชัดเจน แต่พอเรามีเทคโนโลยีที่ควบคุมคุณภาพได้ จะทำให้สามารถแบ่งเกรดผำได้ โดยผำที่เลี้ยงด้วยระบบนี้ มีความสะอาด ปลอดภัย มีสารอาหารที่ควบคุมได้ ซึ่งจะช่วยยกระดับมาตรฐานและราคาเป็นผำพรีเมียมได้ 

นายบรรจง กล่าวด้วยว่า  ทั้งนี้ด้วยเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งส่วนใหญ่มีความคุ้นเคยกับการใช้เทคโนโลยีอยู่แล้วและมีพื้นฐานการจัดการฟาร์มซึ่งถือเป็นข้อได้เปรียบ ทำให้การปรับเปลี่ยนมาสู่การเลี้ยงไข่ผำจึงไม่ใช่เรื่องยาก และสามารถปรับใช้อุปกรณ์และบ่อเพาะเลี้ยงที่มีอยู่เดิมจากฟาร์มกุ้งได้ โดยไม่ต้องลงทุนสร้างใหม่ ซึ่งบ่อเหล่านี้มักมีระบบการจัดการน้ำที่ดีอยู่แล้ว โดยมีแผนที่จะจัดตั้งศูนย์เรียนรู้เพื่อให้เกษตรกรที่สนใจสามารถเข้ามาเรียนรู้และปรับใช้กับทรัพยากรที่ตนเองมี สำหรับ Pro-t ฟาร์ม เป็นฟาร์มต้นแบบ ภายใต้ความร่วมมือวิจัย ปัจจุบัน มีพื้นที่บ่อไข่ผำ 75 บ่อ สามารถผลิตไข่ผำสดได้เต็มศักยภาพน้ำหนักราว 2 ตันต่อเดือน และจำหน่ายในราคากิโลกรัมละ 100 บาท สามารถสร้างรายได้ถึง 200,000 บาทต่อเดือน โดยปัจจุบันกำลังหาช่องทางตลาดขายไข่ผำ หากมีผู้สนใจรับซื้อสามารถติดต่อได้ที่ นายบรรจง (หมายเลขโทรศัพท์ 081 636 6362 )  

มาตรฐาน ความปลอดภัย สู่การผลักดันไข่ผำสู่ตลาด

ดร.ศุภนิจ กล่าวย้ำว่า ปัจจุบันไข่ผำยังไม่มีมาตรฐานเฉพาะสำหรับผลิตภัณฑ์ การสร้างมาตรฐานการผลิตไข่ผำพรีเมียมจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยให้สามารถแบ่งเกรดและกำหนดราคาได้อย่างชัดเจน โดยการผลิตไข่ผำภายใต้ความร่วมมือฯ ดังกล่าว ผ่านมาตรฐาน COA, GMP และ Halal เรียบร้อยแล้ว รวมถึงผ่านการทดสอบการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรีย และจุลินทรีย์ก่อโรค 

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญยังคงอยู่ที่ตลาดแม้จะมีผู้สนใจจากต่างประเทศ แต่ประสบปัญหาการสวมรอยใบรับรองคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน แต่จัดซื้อผำจากแหล่งอื่นที่ราคาถูกกว่าทำให้ผู้ผลิตที่ได้มาตรฐานเสียโอกาสทางการตลาด จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหาผู้ประกอบการภาคเอกชนเข้ามารับช่วงต่อในส่วนของการตลาดและการแปรรูป เพื่อนำผลิตภัณฑ์ที่ได้คุณภาพนี้ไปสู่ผู้บริโภคโดยตรงในห้างสรรพสินค้า หรือตลาดเฉพาะทาง เช่น ตลาดอาหารสำหรับผู้ป่วย ตลาดอาหารสัตว์น้ำวัยอ่อน เป็นต้น 


\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\





“พาณิชย์” ลงจันทบุรี จับมือ แมคโคร โลตัส และโลตัส-โกเฟรช เร่งดันมังคุดปลายฤดูกาล กระจายสู่ทุกสาขาทั่วประเทศ

 “พาณิชย์” ลงจันทบุรี จับมือ แมคโคร โลตัส และโลตัส-โกเฟรช เร่งดันมังคุดปลายฤดูกาล กระจายสู่ทุกสาขาทั่วประเทศ วานนี้ (14 มิถุนายน 2568) นายวิ...